top of page
Fah Chana

5 ที่เที่ยวในปักกิ่ง ไม่ไปเหมือนมาไม่ถึง

Updated: Apr 24, 2020

ถึงแม้ว่าช่วงนี้ทุกคนจะอยู่ติดบ้านไปไหนไม่ได้เพราะสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะฝันใฝ่ไปท่องเที่ยวไม่ได้ วันนี้เรามาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปสำหรับคนที่ยังไม่เคยไปปักกิ่ง ด้วยประสบการณ์เรียนหนังสืออยู่ที่ปักกิ่งมาเกือบ 2 ปี เลยอยากมาแนะนำเพื่อนๆ ให้รับทราบกันนะค้า

 

1. พระราชวังต้องห้าม หรือ Forbidden City


วังต้องห้าม หรือ คนจีนทั่วไปเรียกกันว่า "กู้กง" (故宫) ถือเป็นสถานที่ที่พลาดไม่ได้สำหรับคนที่มาเที่ยวปักกิ่งเป็นครั้งแรก นับว่าเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมจีนที่น่าทึ่ง เข้าไปครั้งแรกรู้สึกเลยว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว พระราชวังนี้สร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ถึงราชวงศ์ชิง (แนะนำคนคอหนังให้ไปดูเรื่อง The Last Emperor แล้วจะเห็นบรรยากาศพระราชวังในสมัยนั้น และเรียนรู้ประวัติศาสตร์จีนแบบเบาๆ ไปด้วย) เราเลยขอแนะนำว่าควรหาไกด์นำทาง เพราะถึงแม้จะมีเครื่อง audio guide เรื่องราวเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจและเรื่องราวดราม่าสมัยโบราณจะไม่ค่อยมีป้ายให้เราเดินอ่านกันเอง อีกอย่างเพราะความกว้างขวางของพื้นที่ ถ้าจะเดินดูให้ครบได้ต้องมีคนพาไปไม่งั้นจะหลงทางกันมึน ที่นี่บอกได้เลยว่าเดินได้ทั้งวัน


ช่วงเวลาที่แนะนำว่าควรไปคือมาช่วงฤดูหนาว (ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน จนถึงประมาณต้นเดือนมีนา) เพราะคนจะไม่เยอะมาก และตั๋ว off-season จะถูกกว่าด้วย แต่ระวังช่วงตรุษจีน เพราะคนจีนจะเยอะมาก ถ้ามากันช่วงหน้าร้อน คนต่างจังหวัดมักจะพาคนในครอบครัวมาเที่ยวเมืองหลวงเพราะเป็นช่วงวันหยุดของนักเรียนจีน ช่วงนี้ทุกอย่างจะแน่นเอี๊ยด แถมอากาศก็ร้อนพอๆ กับบ้านเรา (นอกจากบริเวณพิพิธภัณฑ์กับร้านขายของฝาก ที่อื่นจะไม่มีเครื่องปรับอากาศเลย)


การเดินทางนั้นไม่ยาก ได้ทั้งนั่งรถเมล์ รถไฟใต้ดิน หรือแท๊กซี่ แต่ต้องเดินไกลนิดนึง เพราะพระราชวังต้องห้ามอยู่ในบริเวณจตุรัสเทียนอันเหมิน (Tian An Men 天安门) ดังนั้นก่อนจะเข้าไปในพระราชวังได้ ต้องผ่านด่านตรวจก่อนเข้าจตุรัสก่อน ซึ่งตรงบริเวณนี้จะกั้นรั้วไว้ไม่ให้รถหยุด ตรงนี้อย่าลืมพกพาสปอร์ตมา เพราะต้องเอามาแสดงให้เจ้าหน้าที่ มีการตรวจกระเป๋าด้วยนะ


วิธีการซื้อตั๋วนั้นจะมี 2 วิธีหลักๆ วิธีแรก ถ้ามากับทัวร์หรือมีไกด์พาไป ไกด์จะจองตั๋วให้ออนไลน์ แต่ถ้ามาเอง ต้องพกพาสปอร์ตมาแล้วมาซื้อหน้าพระราชวัง พาสปอร์ตนี้เค้าจะเอาไปแสกน แล้วเราสามารถใช้ยื่นเป็นตั๋วเข้าพระราชวังได้เลย (ถ้าเป็นคนจีนนี่ ต้องจองออนไลน์อย่างเดียว)


อีกอย่างที่แนะนำคือ หลังเดินในพระราชวังต้องห้ามเสร็จ ทางออกนั้นจะมีอยู่แค่ทางเดียว คือทางประตูตะวันออก ถ้าออกมาแล้วมองตรงไปจะเห็นสวนสาธาณะจิ่งชัน (Jing Shan Park 景山公园) แนะนำว่าให้ข้ามถนน (มุดอุโมงค์ไปได้) แล้วปีนเนินขึ้นไป จะเห็นว่าบนเนินนี้มีศาลาอยู่ 5 ศาลา ถ้าปีนไปถึงศาลากลางจะเห็นวิวพระราชวังต้องห้ามจากด้านหลัง วิวนี้ต้องบอกเลยว่าอลังการงานสร้างมาก แนะนำจริงๆ ถ้ายังไม่เหนื่อยเสียก่อน


 

2. หอสักการะฟ้าเทียนถัน หรือ Temple of Heaven



ที่นี่ก็ถือเป็นที่น่าประทับใจมากของกรุงปักกิ่ง และเป็นมรดกโลกอีกด้วย เป็นสถานที่ที่ราชวงศ์จีนในสมัยโบราณใช้ในการสักการะฟ้าดิน เพราะในสมัยนั้นคนจีนเชื่อเรื่องเทพเจ้า และเชื่อว่าการบวงสรวง เซ่นไหว้ต่างๆ จะนำโชคลาภมาให้แก่แผ่นดิน และปัดเป่าสิ่งร้าย (เช่น ภัยธรรมชาติ)


เทียนถัน (Tian Tan 天坛) นั้นมีบริเวณกว้างขวางใหญ่โตมาก เพราะนอกจากอาคาร ยังมีสวนสาธาณะรายล้อมอีกด้วย เดินได้ทั้งวันเหมือนกัน ที่นี่จะมี 3 อาคารหลักๆที่ต้องแวะชม (ทั้งสามอย่างนี้เรียงกันเป็นเส้นตรง ดังนั้นไม่ต้องกลัวเดินหลง) ทางเข้าจะมี 4 ทิศ แต่เราขอแนะนำสองทิศหลักๆ ทางแรกคือจากประตูทิศตะวันออก เพราะประตูนี้จะอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินมากที่สุด ประตูนี้จะใกล้จุดสำคัญสุดของเทียนถัน นั่นคือ ตำหนักซินเหนียนเตี้ยน อีกทางเข้าคือประตูทิศใต้ ทางนี้คือเดินย้อนจากหลังสุดไปหน้าสุด (ซึ่งก็คือตำหนักซินเหนียนเตี้ยน) ทางนี้แนะนำสำหรับคนที่ไม่ชอบความแออัด เพราะประตูทิศตะวันออกนั้น เดินเข้าไปก็จะเป็นสวนสาธารณะ ที่นี่มักมีปู่ย่าตายายมานั่งเล่นหมากรุกจีนกันจอแจ ก็จะได้บรรยากาศอีกแบบ (บางทีมาแล้วอาจจะโชคดีได้เห็นตลาดหาคู่ ที่พ่อแม่คนจีนห่วงกลัวลูกไม่มีคู่ชีวิต เอากระดาษเขียนรายละเอียดลูกตัวเอง ตั้งแต่ปีเกิด อาชีพการงาน การศึกษา แล้วยังเขียนด้วยว่าต้องการหาคนแบบไหนให้ลูกตัวเอง ถือเป็นประสบการณ์แบบชาวบ้านๆที่ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ)


หลังจากแวะชมตำหนักซินเหนียนเตี้ยนแล้ว เดินข้ามสะพานตันปี้ไป จะเจอตำหนักอีกตำหนัก เรียกว่า ตำหนักหวางฉุงหยี่ว์ ที่นี่เราอาจจะเห็นคนไปยืนออๆกันใกล้กำแพง เพราะกำแพงที่นี่มีชื่อว่า กำแพงเสียงสะท้อน เพราะรูปทรงของกำแพง ถ้าไปยืนใกล้ๆแล้วตะโกนจะได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา (เคยลองเหมือนกัน แต่คนเยอะไปหน่อย เลยฟังไม่ได้ยินว่ามันสะท้อนจริงรึเปล่า)


ท้ายสุด เราเดินตรงต่อไปก็จะเจอ แท่นบวงสรวงฟ้าหยวนซิวถัน ที่นี่เป็นที่ที่ทำพิธีเผาของสักการะบูชา มีความพิเศษคือ ถ้าเราปีนแท่นนี้ขึ้นไปชั้นบนสุดจะมีแท่นหินกลมที่นูนขึ้นมาตรงกลางลาน ตรงนี้เค้าว่ากันว่าแค่พูดเสียงเบาๆเสียงก็จะสะท้อนออกมาดังกังวาน (ถ้าวันไหนคนเยอะนี่เค้าแทบจะผลักกันเพื่อจะขึ้นไปยืนเลยนะ)


 


3. พระราชวังฤดูร้อน หรือ Summer Palace



พระราชวังฤดูร้อน หรือ อี๋เหอหยวน (颐和园) เป็นพระราชวังโปรดของซูสีไทเฮา ที่นี่ก็ถือเป็นมรดกโลกเช่นเดียวกัน ความกว้างขวางอลังการของที่นี่ต้องชมจริงๆ เพราะมีทะเลสาบคุนหมิง ซึ่งเป็นทะเลสาบเทียม (ปักกิ่งนั้นอยู่ทางเหนือของประเทศจีน ค่อนข้างมีปัญหาเรื่องความแห้งแล้งน้ำ การมีทะเลสาบเทียม ซึ่งใช้น้ำที่ส่งมาจากภาคใต้ของประเทศ ถือเป็นอะไรที่หรูหรามาก) นักท่องเที่ยวสามารถเดินวนรอบได้ (เรามาที่นี่ตั้ง 4 ครั้ง ไม่เคยเดินวนครบเลย) พระราชวังนี้ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ หลังจากที่เก่าถูกทำลายลงในสมัยสงครามฝิ่นโดยกองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษ (เราสามารถเดินทางไปดูซากปรักหักพังนี้ได้ ชื่อว่า หยวนหมิงหยวน 圆明园)


ทางเข้าหลักๆที่แนะนำที่นี่ก็มี 2 ทางเช่นเดียวกัน ทางแรกคือ ประตูทิศเหนือ กับประตูทิศตะวันตก ส่วนใหญ่ถ้าเดินทางมากันเองโดยนั่งรถไฟใต้ดิน คนจะมาลงที่ประตูทิศเหนือ จากประตูทางนี้จะเดินชมพระราชวังได้อย่างครบครันเพราะเริ่มจากหลังไปหน้า ในขณะที่ประตูทิศตะวันตกนั้นเข้ามาก็จะเจอไฮไลท์ของพระราชวังทันที เช่น ทะเลสาบคุนหมิง ระเบียงที่ยาวที่สุดในหมู่พระราชวังจีน และสะพาน 17 โค้ง ทางนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากเดินเยอะ แต่สำหรับคนที่อยากได้ประสบการณ์แบบเต็มอิ่ม ก็เริ่มที่ประตูทิศเหนือได้เลย


ที่นี่เราก็ขอแนะนำว่าให้มากับทัวร์หรือมีไกด์มาด้วยจะคุ้มค่ามากกว่า เพราะจะได้รับฟังเกร็ดประวัติศาสตร์ที่ละเอียดกว่าเครื่อง audio guide หรือป้ายตามทางเดิน


การเดินทางมาที่นี่อาจจะลำบากหน่อย เพราะอยู่ไกลตัวเมืองพอสมควร ถ้านั่งรถไฟใต้ดินมาจากใจกลางเมืองก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่า ถ้านั่งรถแท๊กซี่ก็ประมาณ 40 นาที


ช่วงเวลาที่ควรมาเที่ยวที่สุดก็คงเป็นช่วงฤดูร้อน (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ไปจนถึงเดือนสังหาคม) เพราะดอกบัวจะเริ่มบาน เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่พระราชวังฤดูร้อนสวยที่สุด (สมชื่อเลย) ดังนั้นจะเป็นช่วงที่คนจะแห่กันมาชมดอกบัว พร้อมกับนั่งเรือชมวิว (แต่คนเยอะมากจริงๆ โดยเฉพาะสุดสัปดาห์ คนแน่นจนแทบไม่เห็นพื้นกันทีเดียว) แต่ถ้ามาช่วงฤดูร้อนไม่ได้ ฤดูหนาวก็มีเสน่ห์อีกแบบ เพราะน้ำในทะเลสาบจะแข็งจนสามารถลงไปเล่นสเก็ตได้เลย ช่วงที่ควรไปคือธันวาคม ถ้าไปช้าไปกว่านั้นน้ำแข็งอาจจะละลายไปหมดแล้ว


 


4. วัดลามะ หรือ Lama Temple



วัดลามะ หรือ ยงเหอกง 雍和宫 เป็นวัดศาสนาพุทธนิกายธิเบตที่ใหญ่ที่สุดในกรุงปักกิ่ง ที่นี่เคยเป็นหนึ่งในพระราชตำหนกขององค์ชายองค์หนึ่ง ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนมาเป็นวัดในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาเราจะเห็นป้ายของอาคารแรก บนป้ายมีชื่อวัดเขียนไว้ 4 ภาษา นั่นคือ ภาษาจีน ภาษามองโกล ภาษาธิเบต และภาษาแมนจู เหตุผลนั้นน่าสนใจ ที่มีภาษาแมนจูก็เพราะจักรพรรดิเฉียนหลงนั้นเป็นคนแมนจู มีภาษาจีนเพราะพระองค์ปกครองชาวฮั่น (คนจีน) มีภาษาธิเบตเพราะเขาถือกันว่าธิเบตเป็นจุดกำเนิดของศาสนาพุทธในเมืองจีน และภาษามองโกลเพราะต้องการสร้างสัมพันธ์อันดีงามกับประชาชนชาวมองโกล ดังนั้นป้ายนี้ป้ายเดียวสามารถสื่อความหมายได้อย่างลึกซึ้งถึงใจเลยจริงๆ


วัดลามะนั้นบริเวณไม่ได้ใหญ่มาก อาคารค่อนข้างจะใกล้ชิดกัน ดังนั้นคนเดินกันขวักไขว่ และยังเป็นวัดที่คนยังมาเคารพบูชากันอย่างสม่ำเสมอ ขอให้ทุกคนทำใจกับกลิ่นควันธูปไว้ได้เลย เมื่อเดินลึกเข้าไปจะพบกับอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ นั่นคือพระพุทธรูปไม้ของ พระศรีอริยเมตไตรย ที่ถูกแกะสลักจากไม้จันขาวเพียงท่อนเดียว และมีความสูงถึง 26 เมตร ! (จริงๆ เค้าไม่ให้ถ่ายรูปนะ แต่แอบแชะๆ ได้มานิดนึง)


สำหรับการเดินทางนั้น ไม่ยาก สามารถนั่งรถไฟใต้ดิน (เดินแค่ 2 - 3 นาที) นั่งรถเมล์ หรือไม่ก็แท๊กซี่ตามความสะดวก เพราะที่นี่พื้นที่ไม่ใหญ่มาก เดินครึ่งวันก็ถือว่าเต็มที่แล้ว แต่ถ้ายังอยากเดินเล่นต่อ เดินข้ามถนนจากวัดลามะไปนิดนึงจะมี หูท่ง 胡同 ซึ่งเป็นบ้านสมัยโบราณในปักกิ่ง ที่เรียงรายอยู่รอบใจกลางเมือง บ้านพวกนี้มีลักษณะเป็น ซื่อเหอหยวน 四合院 คือบ้านสไตล์จีน ที่มีลานกลางบ้าน และตึกล้อมรอบสี่ทิศ (ถ้าต้องการความรู้เพิ่มเติม ตามลิงค์นี้ไปได้เลย น่าสนใจมากนะ) ที่เกริ่นมาตั้งนานคือใกล้ๆ กับวัดลามะนี้ มีหูท่งซอยหนึ่ง ชื่อว่า อู่เต้ายิง 五道营 ที่สามารถไปเดินเล่นได้ ปกติในหูท่งนี่บ้านแต่ละหลังจะมีคนหลายๆ ครอบครัวอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่ซอยนี้นั้นนำมาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว บ้านเหล่านี้เลยถูกดัดแปลงมาเป็นร้านอาหารบ้าง ร้านกาแฟบ้าง หรือร้านค้าทั่วไป (บางทีเดินๆ ไปก็จะเจอผับหรือบาร์แอบซ่อนอยู่ด้วย) แนะนำให้คนต้องการนั่งพักผ่อน เดินช้อปปิ้งหลังออกจากวัดมา


 


5. กำแพงเมืองจีน หรือ The Great Wall of China



พลาดไม่ได้จริงๆ กับกำแพงเมืองจีน หรือ ฉางเฉิง 长城 (แปลตรงๆ ว่ากำแพงยาว) หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งเป็นกำแพงที่ยาวเป็นหมื่นๆ กิโลเมตรเริ่มจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกสุดถึงทะเล ประวัติความเป็นมาของกำแพงเมืองจีนเป็นอะไรที่น่าสนใจ แถมยังมีตำนานต่างๆมากมายเกี่ยวกับกำแพงชื่อดังแห่งนี้ เช่น ตำนานนางเมิ่งเจียง ซึ่งสาวชาวจีนที่สามีถูกเกณฑ์ตัวไปสร้างกำแพงหลายปีไม่กลับบ้าน เธอจึงเดินทางไปตามหาที่กำแพง แล้วจึงได้ข่าวว่าสามีเธอตายไปนานแล้ว เธอร้องไห้หนักมากและนานมากจนส่วนหนึ่งของกำแพงพังลงมา แล้วกระดูกของสามีเธอจึงถูกค้นพบ เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่กล่าวถึงกำแพงเมืองจีน ที่ถึงแม้จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในโลกปัจจุบัน แต่การก่อสร้างของมันในอดีตนั้นได้สร้างความขมขื่นให้แก่ประชาชนในสมัยนั้นไว้มาก โดยว่ากันว่าร้อยละ 50 ของประชาชนในสมัยนั้นไปตายที่กำแพง และถือเป็นหลุมศพที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้


การไปเยือนกำแพงเมืองจีนนั้นไม่ได้มีอยู่แค่จุดเดียวเพราะกำแพงยาวเป็นหมื่นกิโล รัฐบาลจีนไม่มีกำลังพอที่จะดูแลรักษาทุกส่วนให้คงสภาพดีได้ (บางส่วนพังไปจนไม่เหลือเลยก็มี) จึงมีการแยกส่วนเป็นด่านหลักๆ ออกมา และนำมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับการรองรับนักท่องเที่ยว เราขอแนะนำ 5 ด่านหลักๆนั่นคือ


  1. ด่านปาต้าหลิง 八达岭

  2. ด่านมู่เถียนยู่ว 慕田峪

  3. ด่านจินชันหลิง 金山林

  4. ด่านซือหมาไท่ 司马台

  5. ด่านฮวงฮวาเฉิง 黄花城


โดยส่วนตัวแล้ว เราเคยปีนมา 3 ด่าน ที่ไม่เคยไปคือด่านปาต้าหลิง กับด่านซือหมาไท่ แต่ต้องบอกว่าด่านไหนก็คุ้ม ใครไม่เคยไปต้องไปให้ได้ครั้งหนึ่ง ด่านที่คนนิยมที่สุดนั้นคือ ด่านปาต้าหลิง เป็นด่านที่อยู่ใกล้ใจกลางเมืองปักกิ่งมากที่สุด แต่ความพิเศษคือ ที่นี่มีศิลาจารึกในลายมือของท่านประธานเหมาเจ๋อตุงที่สลักไว้ว่า

不到长城非好汉

หรือ "มาไม่ถึงกำแพงเมืองจีน ไม่ถือเป็นผู้กล้า" ซึ่งถ้าเราดูคำแปลอีกแบบ คำว่า 汉 (ฮั่น) ในที่นี้ก็สามารถแปลเป็นชาวฮั่น นั่นก็คือคนจีน ดังนั้นคำพูดนี้ก็สามารถแปลได้ว่า "มาไม่ถึงกำแพงเมืองจีน ไม่ใช่คนจีน" ดังนั้นการมากำแพงเมืองจีนนี่ถือเป็นความฝันอันสูงสุดของคนจีนโดยทั่วไป โดยเฉพาะคนมีอายุที่ไม่ค่อยมีโอกาสเดินทางมาไกลจากบ้านเกิด (เมื่อก่อนการคมนาคมไม่ได้พัฒนาเหมือนสมัยนี้ ประเทศจีนนั้นกว้างใหญ่ไพศาล แค่จะเดินทางจากเหนือไปใต้อาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนเลยทีเดียว) ดังนั้นหลายๆคนมีความฝันว่าก่อนตายต้องขอให้ได้ขึ้นมาเหยียบบนกำแพงสักครั้ง


แต่ละด่านของกำแพงเมืองจีนนั้นก็มีเสน่ห์ของตัวเอง เช่น มู่เถียนยู่ว นับว่าเป็นด่านที่สวยที่สุดก็ว่าได้ แล้วคนไม่เยอะเท่าปาต้าหลัง จินชันหลิง อยู่ไกลหน่อยเกือบถึงมณฑลเหอเป่ย แต่สวยไม่แพ้กันและมีส่วนที่ไม่ได้รับการปรับปรุงที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปได้ซึ่งก็เป็นเสน่ห์อีกแบบ และด่านฮวงฮวาเฉิง ที่ถูกนำมาทำเป็นส่วนหนึ่งของเขื่อน คนจึงมักเรียกว่า 水长城 ฉุ่ยฉางเฉิง หรือกำแพงน้ำนั่นเอง ถ้าอยากอ่านเพิ่มเกี่ยวกับประสบการณ์การปีนกำแพงเมืองจีนทั้ง 3 ด่านของเรา ตามมาทางนี้ได้เลย



 

นี่คือ 5 สถานที่เที่ยวที่แนะนำให้คนไม่เคยมาเที่ยวปักกิ่ง แต่จริงๆ ในปักกิ่งยังมีอีกหลายที่ที่น่าไป เช่น สวนโอลิมปิก วัดขงจื๊อ พิพิธภัณฑ์ต่างๆ มากมาย วันไหนมีเวลาว่างเพิ่มจะเขียนให้ทุกคนอ่านกันนะ

224 views0 comments

Commentaires


bottom of page