top of page
Fah Chana

(รีวิว) กรุงปอร์โต้ เมืองท่าโปรตุเกส

Updated: May 21, 2020

วันนี้เรามารีวิวเมืองปอร์โต้ ประเทศโปรตุเกสกัน เมืองปอร์โต้นั้นเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศโปรตุเกส มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์มาก เราได้ออกเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ตอนตีหนึ่งครึ่งด้วยสายการบินเอมิเรตส์ และมาเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ ก่อนจะไปต่อที่ปอร์โต้ รวมๆกันใช้เวลาประมาณ 10 กว่าชั่วโมง มาถึงปอร์โต้ประมาณบ่าย 2 โมง ซึ่งเราก็เช็คอินโรงแรมก่อนเลย


โรงแรมที่เราพักครั้งนี้เป็นตึกโบราณ ชื่อโรงแรม Intercontinental Porto - Palacio Das Cardosas ซึ่งเป็นตึกอายุมากกว่า 100 ปี ตึกนี้เคยเป็นพระราชวังในช่วงยุคศตวรรษที่ 18 แต่ถูกนำมาปรับปรุงเป็นโรงแรมในปี 2011 โรงแรมนี้หรูหราใช้ได้ ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง เราเดินทางมาช่วงวันหยุดปีใหม่พอดี ตรงลานหน้าโรงแรมจึงมีการจัดเวทีงานรับปีใหม่กัน วิวเลยไม่ค่อยโดนเท่าไหร่

ลานด้านหน้าโรงแรม
วิวจากห้องโรงแรม
วิวอีกด้านจากห้องโรงแรม

เพราะว่าเรามาช่วงหน้าหนาว พระอาทิตย์เลยตกเร็วมาก เราออกจากโรงแรมมาประมาณ 6 โมงเย็นก็มืดแล้ว ใกล้ๆโรงแรมมีสถานีรถไฟ Sao Bento ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในโลก เราเลยแวะเข้าไปสำรวจ

ด้านนอกสถานีรถไฟ Sao Bento

เมื่อเข้าไปข้างในสถานีเราก็จะได้เห็นผนังสี่ด้านของบริเวณโถงทางเข้าที่ประดับไปด้วยกระเบื้องอะซูเรโจของโปรตุเกสที่สวยงามตระการตา คนส่วนใหญ่เดินเข้ามาเพื่อมาดูกระเบื้องโดยเฉพาะ

รูปภาพนั้นส่วนมากก็จะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองปอร์โต้ เมื่อถ่ายรูปสำรวจกันเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางไปทานข้าวต่อ เมื่อทานอาหารเสร็จก็ออกมาเดินเล่นย่อยอาหาร ดูบ้านเมืองเค้าไปด้วยก่อนจะกลับโรงแรมไปนอนพักผ่อนกัน


 

วันรุ่งขึ้นเราออกเดินทางตั้งแต่ 9 โมงเช้า รอบนี้เรามากับน้องชาย พาน้องไปหาอาหารเช้ากินกัน ซึ่งพลาดไม่ได้ ต้องกินทาร์ตไข่โปรตุเกส เผอิญมีร้านใกล้โรงแรม เดินไปแค่ไม่กี่นาทีก็ถึง แต่คิวก็ยาวกันพอสมควร

ข้างในไม่มีโต๊ะนั่งมีแต่โต๊ะยืน มีป้ายอธิบายคร่าวๆถึงประวัติศาสตร์คร่าวๆ ของ Pastel De Nata หรือทาร์ตไข่ในภาษาบ้านเรา ซึ่งบอกว่า ทาร์ตไข่ หรือ ครีมคัสตาร์ด เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยมาจากโบสถ์หรือคอนแวนต์ต่างๆ ที่ผลิตขนมโดยการใช้ไข่ขาวที่เหลือจากการนำไปใช้ในการซักผ้า และการผลิตไวน์ ภายหลังการปฏิรูปการปกครองของประเทศในปี 1820 ระบบศาสนานั้นถูกยกเลิกไปหมด ขนมชนิดนี้เลยกลายมาเป็นขนมประจำชาติโปรตุเกสไปเลย ซึ่งเป็นที่นิยมมากทั้งในหมู่คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว

ตัวทาร์ตไข่ที่นี่จะไม่เหมือนบ้านเรา เนื้อจะละเอียดและหวานแบบคัสตาร์ด ไม่พอ วิธีกินก็ยิ่งหวานเข้าไปอีก โดยเค้าแนะนำให้โรย Cinnamon หรืออบเชย เพื่อให้ได้รสชาติหวานจับใจ

เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว วันนี้เราตั้งใจจะเดินเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในบริเวณโรงแรมให้หมดเลย สถานที่แรกที่เราแวะไปคือ Palacio de Bolsa ซึ่งเป็นวังที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดยเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอคลาสสิก ที่นี่เป็นสำนักงานของสมาคมการค้ากรุงปอร์โต้ หรือคนเรียกกันว่า วังตลาดหลักทรัพย์ วังนี้ก็เป็นมรดกโลกภายใต้ UNESCO เช่นเดียวกัน



ที่วังนี้นั้นเราไม่สามารถเดินกันเองได้ ต้องมีไกด์นำ ซึ่งเป็นไกด์ของที่นี่โดยเฉพาะ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ควรเช็คมาก่อนว่าเค้ามีรอบไหนบ้าง เราเดินทางมาถึงประมาณ 9 โมงครึ่ง ต้องรออีกครึ่งชั่วโมงเพราะทัวร์เค้าเริ่ม 10 โมง แต่ทัวร์นี้ก็ต้องทำใจนิดนึงเพราะเราต้องไปอยู่รวมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย สำเนียงของไกด์ก็ค่อนข้างหนัก ต้องเงี่ยหูตั้งใจฟังนิดนึง แต่ภายในวังนั้นสวยงามจริงๆ ควรแก่การมา

Palacio da Bolsa จากด้านนอก

สังเกตจากรูปว่าพื้นนี่เอียงมาก ปอร์โต้ก็ถือเป็นเมืองชายทะเลเหมือนกับลิสบอน เวลาเดินก็จะขึ้นๆลงๆเนินหลายเนิน ถ้าใครมาเที่ยวก็ต้องทำใจ เตรียมรองเท้า ออกกำลังให้ร่างกายฟิตก่อนมาเดินกันค่ะ

โถงกลางของ Palacio de Bolsa
บันไดแบบ Double Staircase ขึ้นไปชั้นสอง
โดมกระจก
โถงทางเดิน
ห้องประชุม
ห้องอาหรับ

ห้องที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือห้อง Salao Arabe ซึ่งผู้เป็นสถาปนิกได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะสไตล์อิสลาม ห้องนี้สวยงามอลังการมาก สามารถเปิดให้เช่าได้ แต่แพงหูฉีก


หลังจากสำรวจวังนี้เสร็จ ข้างๆวังก็มีโบสถ์ดังของปอร์โต้เลย นั่นคือ Sao Francisco church

ตัวโบสถ์ด้านหน้า

ข้างหน้าโบสถ์นั้นเราจะเห็นวิวแม่น้ำดูโร (Douro River) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของกรุงปอร์โต้ ยาว 897 กิโลเมตร ข้างหน้าเราจะเห็นรถรางที่วิ่งรอบเมืองปอร์โต้ นักท่องเที่ยวจะชอบนั่งชมเมืองกัน

เมื่อมาถึงโบสถ์เราต้องเข้าไปซื้อบัตรเข้าที่ออฟฟิศข้างๆ ที่นี่ขายบัตรรวม นั่นคือชมโบสถ์ กับชมพิพิธภัณฑ์ คนส่วนใหญ่จะมาชมโบสถ์กันมากกว่า โบสถ์ที่นี่ยังคงความเป็นโปรตุเกสอยู่ นั่นคือมีทองอร่ามข้างในจนแสบตา (จริงๆเค้าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะ แต่เราแอบถ่ายมารูปนึง)

เมื่อชมโบสถ์เสร็จแล้ว เราก็จะเดินย้อนกลับไปที่ขายตั๋วเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ห้องถัดไป ส่วนใหญ่เป็นของโบราณวัตถุทางศาสนาคริสต์ มีป้ายให้อ่านรายละเอียดคร่าวๆ ที่นี่เดินประมาณชั่วโมงนึงก็เยอะละ


เมื่อเสร็จจากโบสถ์ เซา ฟราสซิสโกแล้ว เราก็หาทางเดินเรียบแม่น้ำดูโรกัน และแวะทานข้าวไปด้วย บางช่วงของริมแม่น้ำจะเป็นตึกรามบ้านช่อง ดังนั้นเราก็จะเดินผ่านช่วงที่เป็นถนนแคบๆ ข้างหลังบ้านแถวเหล่านี้

ถนนระหว่างบ้านแถวหน้าแม่น้ำดูโร

พอเราหลุดจากบริเวณนั้นมาได้ แล้วมาเดินเลียบแม่น้ำดูโรแล้วนั้น ที่นี่เค้าจะเรียกกันว่า Cais Da Libeira แปลตรงๆก็จะแปลว่า ท่าเรือข้างแม่น้ำ ตรงนี้จะเป็นจุดชมวิวหลักๆของปอร์โต้ เราจะมาเดินชมตึกที่มีสีสันตลอดช่วงแม่น้ำช่วงนี้ ที่นี่จะมีร้านอาหารและร้านกาแฟเรียงรายกันเต็มไปหมดเพื่อให้คนมานั่งชิลล์ชมวิวกันไป

ถ้าเรามองไปทางซ้ายของแม่น้ำเราจะพบกับสะพานเหล็กขนาดใหญ่ นั่นคือสะพาน Luis I Bridge สะพานนี้มีความโดดเด่นมาก เพราะเป็นหนึ่งในสะพานที่ได้รับการออกแบบจากศิษย์ของ กุสตาฟ ไอเฟล สถาปนิกหอไอเฟลในปารีสนั่นเอง สะพานนี้มี 2 ชั้น ชั้นล่างนั้นให้รถวิ่ง ในขณะที่ชั้นบนจะมีรถราง และทางเดินเท้าให้คนสามารถเดินข้ามเองได้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องมาเดินกัน ทางเดินขึ้นนั้นเป็นบันไดขึ้นไปหลายชั้น ถ้าใครไม่อยากปีนก็มีบริการนั่งรถกระเช้าขึ้นไปได้ แต่ต้องเสียตังค์นะ

วิวสะพานจากท่าเรือ
สะพาน Dom Luis I

ส่วนตัวแล้วพวกเราไม่ได้ขึ้นไปเดินบนสะพานโดยทันที เพราะเห็นความสูงแล้วก็แพ้ใจ เราจึงตัดสินใจเดินไปชมวิหารปอร์โต้ (Porto Cathedral) ซึ่งจริงๆก็ต้องปีนบันไดขึ้นไปหลายขั้นเหมือนกัน แต่ระหว่างทาง เราก็ได้ชมวิวแม่น้ำสวยงามไปด้วย

วิวแม่น้ำหลังจากที่เราเดินขึ้นมาถึงวิหารค่ะ ต้องบอกว่าเดินมาเหนื่อยมาก ตอนแรกอากาศเย็นๆ เดินไปถอดเสื้อไปด้วยเลยเพราะเหงื่อออกร้อนมาก พอเราขึ้นมาถึงวิหาร เราก็จะเห็นวิวที่มองเข้าไปในเมืองแทน สวยพอๆกันเลย

ชมวิวด้านนอกกันเสร็จแล้วก็มาชมวิหารกันดีกว่า

วิหารจากด้านข้าง

วิหารปอร์โต้นั้นจะมีความพิเศษนั่นคือมีการนำเอากระเบื้องอาซูเรโจ กระเบื้องประจำประเทศโปรตุเกสมาประดับตกแต่งตามโถงทางเดินในวิหารทั้งหมด กระเบื้องเหล่านี้สวยงามมาก ถ่ายรูปกันอย่างเมามันส์เลยค่ะ

ข้างในวิหารก็มีโบสถ์เช่นเดียวกัน

วิวจากชั้นสองของโบสถ์

เราสามารถเดินขึ้นไปชั้นสองของโบสถ์แล้วชมวิวได้อีกด้วย ห้องบางห้องก็จะมีป้ายติดอธิบายเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตัววิหารด้วย


หลังจากที่เราเดินกันมาครึ่งวัน ทุกคนก็เหนื่อยพอสมควรเลยเดินกลับไปโรงแรมกัน ใช้เวลาเดินไปประมาณ 10 นาที ต้องบอกเลยว่าทุกที่ที่ไปนั้นอยู่ใกล้ๆกันหมด ไม่ต้องนั่งรถไปไหนเลย


พอมาถึงตอนเย็นนั้นเราตัดสินใจไปทานข้าวที่โรงแรม Yeatman ซึ่งอยู่ตรงข้ามแม่น้ำสายนี้ไป แต่โชคไม่เข้าข้างเป็นวันที่มีมาราธอนรอบเมืองพอดี ตอนเดินไปเลยต้องเบียดเสียดกับฝูงชนที่ออกมาชมการวิ่งมาราธอน แต่พอเราเดินออกจากเส้นทางวิ่งแล้ว เราก็เดินมาถึงสะพาน Luis I ซึ่งเราได้ชมไปตอนกลางวัน คราวนี้เราเลยได้มาชมวิวตอนกลางคืนแทน

วิวเด่นวิวดังจริงๆ นักท่องเที่ยวหลายคนมาเดินบนสะพานเพื่อเก็บรูปนี้กัน


 

วันถัดมา เราได้จองทัวร์ชิมไวน์ในหุบเขาดูโร (Douro Valley) ทัวร์นี้เราจองผ่าน Viator เว็บรวมทัวร์ต่างๆ ตอนแรกอ่านผิด เรานึกว่าจองทัวร์ส่วนตัว แต่จริงๆไปจองรวม ดังนั้นเราเลยนั่งรถทัวร์เบียดๆ กันประมาณ 25 คน


เมืองปอร์โต้นั้นจะดังเรื่องไวน์มาก โดยเฉพาะ พอร์ตไวน์ (Port Wine) (ตามชื่อเมืองเลย) ซึ่งเป็นไวน์ที่ผลิตในเขตหุบเขาดูโรเท่านั้น ซึ่งความพิเศษของพอร์ตไวน์ก็คือมีการผสม aguardente ซึ่งเป็นเหล้า spirit ของโปรตุเกส (29 - 60% ABV - Alcohol by Volume) เพื่อหยุดการหมักของไวน์ รสชาติของพอร์ตไวน์นั้นจึงมีความหวาน และเพิ่มเปอร์เซนต์แอลกอฮอลล์ บางคนอาจจะบอกว่าตัว aguardente นั้นก็คือบรั่นดี ดีๆนั่นเอง แต่คนโปรตุเกสเค้าบอกว่าไม่ใช่นะ ไม่เหมือนกัน ส่วนตัวไม่ใช่คอไวน์ก็เลยไม่ค่อยมั่นใจ แต่ใครสนใจก็ไปศึกษาเพิ่มเติมได้นะ


การเดินทางนั้นนั่งรถไปประมาณ 1 ชั่วโมง มีแวะเข้าห้องน้ำ ดื่มกาแฟ กันบ้าง เราไปไร่องุ่น 2 ที่ และนั่งเรือชมวิวหุบเขาอีกชั่วโมงหนึ่ง จากนั้นก็แวะทานอาหาร และชิมไวน์ ก่อนจะเดินทางกลับ รายละเอียดนี้เราจะไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร่ เพราะแต่ละที่ที่ไปเราว่ามันไม่ค่อยโดดเด่น แต่เราแค่อยากแนะนำคนชอบดื่มไวน์ ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวปอร์โต้ ก็ไปลองชิมไวน์ที่นี่กันดู

ช่วงหน้าหนาวอากาศที่นี่จะมีหมอกลงตลอดเพราะอยู่ในหุบเขา ถ้าใครอยากมาชมวิวสวยๆกันก็ขอแนะนำให้มาช่วงอื่น หน้าร้อนน่าจะสวยที่สุด (ช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน)


มีน้องหมามานั่งชมวิวด้วย

อากาศในหุบเขาจะเย็นกว่าในตัวเมืองมาก ต้องแต่งตัวให้อุ่น ใส่แค่แจ๊กเก็ตกับเลกกิ้งนี่ไม่ไหวจริงๆ

ปิดท้ายด้วยการชมวิวที่ไร่องุ่น


 

นี่ก็ถือเป็นสิ้นสุดของทริปปอร์โต้ แต่เราขอเสริมอีกนิดหน่อย อย่างแรกคือ โปรตุเกสนั้นดังมากเรื่องปลากระป๋อง และมีร้านๆหนึ่งที่ส่วนตัวแล้วชอบมาก เพราะการตกแต่งร้านนั้นน่ารัก เป็นธีมละครสัตว์ ร้านนี้จริงๆ มีในเมืองใหญ่ทุกเมือง ไม่ใช่แค่ปอร์โต้ ใครมีโอกาสแวะแล้วเห็นก็ขอแนะนำให้ซื้อมาลองทานดูกันค่ะ ร้านชื่อว่า O Mundo Fastastico da Sadinha Portuguesa ร้านนี้ไม่ได้ขายแค่ปลาซาดีน แต่จะมีปลาหลากหลายชนิด เช่น ปลาคอด ปลาหมึก ปลาแซลมอน สามารถเลือกทานได้ตามความชอบเลย

อันนี้เอามาเรียงตามปีเกิด เผื่อซื้อไปฝากใครเกิดปีไหนก็ซื้อปีนั้นไปเลย

ปลาหลายๆชนิดเรียงตามสีเลยค่ะ


ถ้าหาร้านนี้ไม่เจอก็ไม่ต้องกลัว เพราะปลากระป๋องมีขายกันทั่วไปเลย ซื้อร้านไหนได้ก็อร่อยหมดค่ะ


 

สนใจอ่านรีวิวเมืองอื่นๆ ในโปรตุเกส ตามลิงค์ไปได้เลย




390 views0 comments

Comments


bottom of page