top of page
Fah Chana

(รีวิว) เที่ยวปักกิ่ง ต้องไปเดิน "หูท่ง" !

Updated: May 22, 2020

เกริ่นมาในรีวิว 5 ที่เที่ยวปักกิ่ง ไม่ไปเหมือนมาไม่ถึง วันนี้เลยมารีวิวเบาๆกับชุมชนบ้านโบราณในกรุงปักกิ่งที่อยู่ล้อมรอบพระราชวังต้องห้ามและจตุรัสเทียนอันเหมิน ชุมชนบ้านเหล่านี้เค้าเรียกกันว่า "หูท่ง" (Hutong - 胡同) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วบ้านพวกนี้ก็ยังมีคนอาศัยอยู่เป็นปกติ แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกทำลายไปเยอะพอสมควรเพราะรัฐบาลจีนเค้าต้องการพื้นที่มาพัฒนาเมืองหลวงให้ทันสมัย บ้านที่เหลืออยู่นี้จึงถูกเก็บรักษาไว้ให้เป็นเหมือนโบราณสถานและสถานที่ท่องเที่ยว มีการเอาบ้านบางหลังมาดัดแปลงบ้าง ทั้งเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ บาร์เหล้าและฮอสเทล และในบางพื้นที่นำเอามาทำเป็นถนนคนเดินสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ


หูท่งนั้นมีประวัติศาสตร์มามากกว่า 800 ปี ถือเป็นมรดกที่สืบตกทอดมาหลายสิบรุ่นเลยก็ว่าได้ ตามประวัติศาสตร์แล้วบ้านเหล่านี้คาดว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โจว (ประมาณ 1027 - 256 ปีก่อนคริสตศักราช) และเมื่อถึงช่วงราชวงศ์หมิง บ้านเหล่านี้ก็อยู่รายล้อมพระราชวังหลวง โดยบ้านที่อยู่ใกล้วังที่สุดนั้นจะเป็นบ้านของชนชั้นสูง โดยเฉพาะทางตะวันตกและตะวันออกของพระราชวัง ในขณะเดียวกันนั้นทางเหนือและทางใต้จะเป็นบ้านของพวกพ่อค้า สามัญชน ช่างฝีมือต่างๆ รวมไปถึงเหล่ากรรมกร


บ้านเหล่านี้จะถูกสร้างในคอนเซ็ปต์ ซื่อเหอย่วน 四合院 Si He Yuan นั่นคือมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมแต่ละด้านจะอยู่ตามทิศทั้ง 4 ทิศ นั่นคือ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ส่วนใหญ่บ้านสไตล์นี้จะแบ่งเป็น 3 ขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ ตามสถานะของครอบครัวแต่ละครอบครัว ถ้าเป็นขนาดใหญ่นั้น ในบ้านก็จะมีบ้านเล็กบ้านน้อยในคอนเซ็ปต์เดียวกันแบ่งให้คนในครอบครัวตามสถานะ ตามปกติแล้ว เจ้าบ้านนั้นจะอาศัยอยู่ด้านทิศเหนือ เพราะเป็นด้านที่ได้รับแดดในช่วงหน้าหนาวและจะร่มเย็นเพราะมีตึกอื่นบังแดดในช่วงหน้าร้อน ในขณะที่ด้านทิศตะวันตกนั้นจะมีความเชื่อว่าเป็นทิศที่ดีกว่าตะวันออก ดังนั้นจะเป็นลูกชายคนโตที่จะได้อยู่ด้านนี้ ตรงข้ามกัน ห้องทิศตะวันออกก็จะเก็บไว้ให้ลูกสาว หรือคนในครอบครัวอื่นๆ ที่มีสถานะต่ำกว่าตามความเชื่อคนสมัยนั้น (ลูกสาวที่หย่าร้าง ลูกสะใภ้ที่ไม่ให้กำเนิดบุตรชาย หรือแม่หม้าย) ส่วนทางทิศใต้นั้นเชื่อกันว่าเป็นทิศที่ธาตุไฟรุนแรง ไม่เหมาะกับการทำเป็นที่พักอาศัย ส่วนใหญ่จึงเก็บเป็นห้องทำงาน ห้องครัว บางทีก็สำหรับพวกคนรับใช้ นี่เป็นตัวอย่างสำหรับบ้านคนฐานะดีหรือชนชั้นสูง แต่ถ้าเป็นสามัญชนธรรมดาที่ค่อนข้างยากจน บางที 4 ด้านก็อยู่กัน 4 ครอบครัว บ้านทางทิศเหนือที่ถือว่าดีสุดก็จะตกสู่บ้านที่ฐานะดีที่สุด ในขณะที่ทิศใต้ก็สำหรับบ้านที่ฐานะต่ำสุด

เวลาเราเดินในหูท่งนั้นบ้านเหล่านี้ก็จะเรียงรายติดกันเต็มไปหมด สิ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าเราสังเกตุเป็น เราจะรู้ว่าบ้านหลังไหนเป็นบ้านสำหรับคนชั้นสูง และบ้านหลังไหนเป็นของสามัญชน แน่นอนว่าบางทีก็ดูออกง่ายๆ เพราะความสละสลวยของสถาปัตยกรรมและขนาดของบ้านก็เห็นได้อย่างชัดเจน แต่ในอีกทางหนึ่งถึงแม้ครอบครัวจะฐานะดีแต่ก็ยังมีการแบ่งแยกกัน เช่น คนชั้นสูงที่เป็นพวกขุนนางหรือพระราชวงศ์ กับคนที่ฐานะร่ำรวยเพราะทำการค้าหรือคนสามัญที่ได้ทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมือง (เช่นเป็นทหารหรือเป็นนักปรัชญาที่เก่งกาจ) บ้านของคนสองประเภทนี้จะสังเกตุได้จากประตูหน้าบ้าน สำหรับขุนนางชั้นสูง บนประตูบ้านนั้นจะมีท่อนไม้หน้าตัดยื่นออกมา 4 อัน ในขณะที่บ้านของพวกพ่อค้าที่ฐานะร่ำรวยจะมีแค่ 2 อัน


เรื่องตรานี้มีจุดน่าสนใจอีกจุดคือการแต่งงานระหว่างสองครอบครัว นั่นคือบ้าน 4 ตราก็จะแต่งเข้าบ้าน 4 ตรา และบ้าน 2 ตราก็จะแต่งเข้าบ้าน 2 ตรา แต่บางทีผู้หญิงบ้าน 2 ตราอาจจะแต่งกับผู้ชายบ้าน 4 ตราได้ แต่น้อยมากที่จะมีบ้านผู้ชาย 2 ตราจะได้แต่งกับบ้านของผู้หญิง 4 ตรา (ต้องเข้าใจความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในสมัยโบราณ พ่อแม่ฐานะดีที่มีลูกสาวก็ไม่อยากให้แต่งงานกับผู้ชายที่ฐานะแย่กว่า)


อีกจุดที่น่าสนใจ คือข้างหน้าประตูนั้นจะมีแท่นหินแกะสลักอยู่ 2 ข้าง แท่นหินนี้ก็เป็นการบ่งบอกลักษณะอาชีพของครอบครัวนี้ได้เช่นกัน ถ้าเป็นทรงกลมรูปกลองและมีสิงโตอยู่ข้างบน จะบ่งบอกว่าเป็นครอบครัวทหาร ในขณะที่ถ้าเป็นแท่นสี่เหลี่ยมสูงและมีสิงโตอยู่ข้างบนจะบ่งบอกว่าเป็นผู้รู้หรือมีวิชา อย่างพวกเสนาบดีที่เป็นที่ปรึกษาให้กับจักรพรรดิ


เราเล่าเรื่องประวัติศาสตร์กับความรู้เต็มเปี่ยมแล้ว มาเข้าเรื่องเที่ยวกันดีกว่า อันนี้แนะนำเลยเพราะพูดถึงบ้านสไตล์จีนพอดี ในปักกิ่งนั้นจะมีบ้านหลังหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก เพราะนอกจากมันจะสวยหรูอลังการแล้ว ยังมีประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างหน้าสนใจ นั่นคือ


 

คฤหาสน์เจ้าฟ้าชายกง

(Prince Gong's Mansion / 恭王府)

สวนในคฤหาสน์ฟ้าชายกง

บ้านหลังนี้เดิมทีเป็นบ้านของขุนนางชั้นสูงของจักรพรรดิเฉียนหลง นามว่า เหอเชิน เค้าเป็นที่โปรดปรานมาก และถือเป็นขุนนางที่ร่ำรวยที่สุดในยุคนั้นเลยทีเดียว แต่ก็เพราะว่าเป็นขุนนางที่ทุจริตมากที่สุดในแผ่นดินนั่นเอง หลังจากที่จักรพรรดิเฉียงหลงสิ้นพระชนม์แล้ว จักรพรรดิเจียชิ่งผู้เป็นบุตรคนที่ 15 ขึ้นครองราชย์แทน และเป็นผู้ตัดสินลงโทษขุนนางคนนี้ บ้านหลังนี้จึงถูกยึดเป็นสมบัติของแผ่นดิน (เค้าว่ากันว่าตอนที่บุกเข้ามาจับเพื่อหาหลักฐานการทุจริต มีคนค้นพบว่า เหอเชิน ได้ซ่อนเงินทองเป็นตั้งๆ ไว้ในกำแพงบ้านของตัวเอง) และสุดท้ายก็ตกทอดมาถึงมือฟ้าชายกง จึงเป็นที่มาของชื่อบ้านหลังนี้ไป


สิ่งที่เป็นจุดขายของที่นี่คือสวนหลังบ้าน ที่ว่ากันว่าใหญ่กว่าและสวยกว่าสวนในพระราชวังต้องห้ามเสียอีก อีกจุดคือสมัยที่ เหอเชินสร้างบ้านนี้ขึ้นมา มีการลอกเลียนสถาปัตยกรรมต่างๆ จากพระราชวังต้องห้าม ที่จริงๆแล้วหากไม่ใช่จักรพรรดิไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ สมัยนี้คนจึงเรียกบ้านนี้ว่าเป็นพระราชวังต้องห้ามแบบมินิ เพราะแทบจะก๊อปทุกอย่างกันมาเลยทีเดียว บ้านนี้ก็เป็นตัวอย่างบ้านสไตล์จีนโบราณที่ดีของชนชั้นสูง ที่ใครไปเที่ยวปักกิ่งก็สามารถไปแวะชมดูได้


 

ทีนี้มาเข้าเรื่องการเดินเล่นในหูท่งกันดีกว่า หูท่งในปักกิ่งมีหลายร้อยสายในปักกิ่ง แต่จะมีบางเส้นที่แนะนำให้คนไปเดินเล่นกัน เรามาแนะนำหลักๆ ประมาณ 3 จุด


1. ถนนหนานหลัวกู่เซี่ยง Nanluoguxiang 南锣鼓巷


เส้นนี้เป็นเส้นที่ได้รับการโปรโมทมากที่สุดก็ว่าได้ ใครมาเที่ยวปักกิ่งแล้วต้องการเที่ยวหูท่งที่นี่จะเป็นที่แรกที่ได้รับการแนะนำ ความยาวของถนนเส้นนี้อยู่ที่ 300 เมตร ในเส้นนี้จะมีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของฝากเรียงรายกันไปหมด ให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นจับจ่ายซื้อของกันได้ ในบริเวณนี้จะมีบ้านของคนที่มีชื่อเสียงในสมัยก่อนเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปดูได้เช่นกัน


แต่ถ้าไม่อยากเดินเพราะเป็นจุดที่คิดว่าคนพลุกพล่านมากเกิน หรือไม่ต้องการซื้อของ ข้างๆ ถนนเส้นนี้นั้นจะเป็นหูท่งธรรมดาที่คนธรรมดาเค้าอาศัยอยู่ตามปกติ ก็จะเป็นบรรยากาศเที่ยวปักกิ่งแบบคนในพื้นที่ (บางทีเดินๆไปเค้าก็จะจ้องพวกเรา เพราะเหมือนมาเดินเล่นในซอยหน้าบ้านเค้าดีๆ นั่นเอง)


2. ถนนกั๋วสื่อเจียน 国子监

และถนนอู่เต้ายิง 五道营



สองเส้นนี้อยู่ใกล้กับวัดลามะ ที่เคยแนะนำไปก่อนหน้านี้ โดยที่ถนนกั๋วสื่อเจียนนั้นจะมีชื่อเสียงในด้านวัฒนธรรมเพราะมีสถาบันอุดมศึกษาระดับชาติสมัยโบราณ ซึ่งพวกลูกหลานคนชั้นสูงถูกส่งตัวเข้ามาเรียนเพื่อไปรับราชการ สถาบันนี้ได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเดินดูได้ ในขณะเดียวกันยังมีวัดขงจื๊อ ที่หลายครอบครัวนิยมมาจุดธูปขอพรเกี่ยวกับการเรียนการศึกษา เช่นขอพรให้ลูกสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำ หรือสอบผ่านได้คะแนนสูงๆ

Confucius Temple Beijing
วัดขงจื๊อ

ถ้ามาถูกเวลาจะได้ดูการแสดงด้วยนะ แต่ในวัดนี้ส่วนมากจะเป็นกึ่งวัดกึ่งพิพิธภัณฑ์ คือคนทั่วไปสามารถมาเซ่นไหว้ได้ และสามารถเดินดูวัตถุโบราณต่างๆ และอ่านป้ายที่บอกถึงความเป็นมาของที่นี่ได้


หลังจากเดินดูสถานท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แล้วเรามาเดินจุดที่น่าเดินเล่นกันดีกว่า นั่นคือ ถนนอู่เต้ายิง ถนนเส้นนี้ก็เป็นหูท่งที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสำหรับคนจีนและคนต่างชาติ มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย และร้านกาแฟให้นั่งกินเล่นรับบรรยากาศ และยังมีร้านขายของจิปาถะ ทั้งร้านเสื้อผ้า เครื่องประดับ มีบาร์ที่แอบซ่อนอยู่ในบางจุดด้วย (คนเข้าไปบาร์นึงเป็นสไตล์ Underground Rap ต้องบอกว่าประทับใจมาก ฟังคนจีนแร๊พกัน)

พวกร้านขายของนั้นจะเรียงรายไปจนถึงจุดหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะเป็นบ้านคนธรรมดา ดังนั้นถ้าไปเดินก็ต้องสังเกตุหน่อย ไม่งั้นเดินย้อนกลับมาไกลจะเหนื่อยเอา


3. ถนนเยียนไต้เสีย 烟袋斜街


Yandaixie Hutong
บรรยากาศถนนเยียนไต้เสีย

อันนี้ถือเป็นหูท่งที่เก่าแก่ที่สุดในปักกิ่งก็ว่าได้ ความยาวเพียงแค่ 232 เมตร ถนนนี้ขึ้นชื่อเรื่องบุหรี่และกล้องยาเส้น ตามชื่อถนนที่แปลได้ว่า ถุงยาเส้นที่เอียงๆ (แปลได้งงดี) คนส่วนใหญ่มาที่นี่เพื่อซื้อยาเส้นและกล้องยาเส้นที่ทำจากทองเหลืองและหยก เสื้อผ้าสไตล์อินเดีย ของหัตถกรรมพื้นเมือง ทั้งจากต้าลี่ ลี่เจียง และยังมีของจากธิเบตอีกด้วย นอกจากนั้นก็จะเป็นร้านขายของฝากทั่วไป ร้านอาหาร ร้านกาแฟเล็กๆ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นและจับจ่ายซื้อของได้ ถนนเส้นนี้ค่อนข้างแคบ เวลาเดินอาจจะต้องเบียดเสียดกันหน่อย

ใกล้ๆ ถนนเส้นนี้จะเป็นทะเลสาบโฮ่วไห เบื่อการเดินแออัด หรือจับจ่ายซื้อของก็สามารถเดินชมบรรยากาศได้ มีพวกรถเข็นแบบจักรยานลากให้นั่งท่องเที่ยวไปในหูท่งได้อีกด้วย

Houhai Lake, Beijing
บรรยากาศบริเวณทะเลสาบโฮ่วไห

 

จบการแนะนำหูท่งของเรา นี่เป็นการแนะนำสำหรับคนที่มีโอกาสได้เที่ยวปักกิ่งแบบนานๆ หลายวันหน่อย และอยากเก็บบรรยากาศแบบคนในพื้นที่ มีอีกหลายพื้นที่ที่เรายังไม่ได้พูดถึง วันไหนจะมารีวิวบริเวณอื่นๆ ให้นะคะ


1,490 views0 comments

Comentarios


bottom of page