top of page
Fah Chana

(รีวิว) เที่ยวเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส

Updated: May 21, 2020

วันนี้เราจะมารีวิวทริปที่ ลิสบอน เมืองหลวงของโปรตุเกส ที่เราเคยไปมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกไปช่วงเดือนตุลาคม อากาศยังร้อนอยู่ (ประมาณ 30 องศา) ส่วนครั้งที่ 2 ไปตอนปีใหม่ซึ่งเป็นหน้าหนาว อากาศอยู่ที่ประมาณ 11 องศา บรรยากาศช่วงหน้าหนาวกับหน้าร้อนต่างกันไม่มาก แต่ช่วงหน้าหนาวนั้นหมอกจะปกคลุมตลอดเพราะอยู่ติดชายฝั่งทะเล ดังนั้นเราแนะนำให้เพื่อนๆเดินทางกันมาตอนหน้าร้อนดีกว่า


การเดินทางมาที่ลิสบอนนั้น ถ้ามาจากประเทศไทยจะไม่มีสายการบินตรง ต้องเปลี่ยนเครื่อง ถ้านั่งมาจากประเทศอื่นก็ต้องเช็คดูนะคะ ครั้งแรกเคยนั่งมาจากประเทศอังกฤษซึ่งเป็น Direct Flight 2 ชั่วโมงถึง แต่ครั้งที่สองนั่งมาจากเมืองไทยด้วยไฟลท์ของเอมิเรตส์ และเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบทั้งขาไปและขากลับ รวมๆ กันก็เดินทางเกือบทั้งวันค่ะ ดังนั้นถ้าจะไปเที่ยวต้องวางแผนไว้อย่างน้อย 5 วันจะได้เที่ยวได้คุ้ม


ครั้งแรกนั้นเรามากับเพื่อนเลยพักที่พักแบบกลางๆ ราคาไม่แพงมาก นั่นคือ โรงแรม คอนเวนโต โด ซาลวาดอร์ (Hotel Convento Do Salvador) โรงแรมนี้สวยงามมาก บรรยากาศเงียบๆ การตกแต่งออกแนวโมเดิร์น ตึกขาวทั้งตึก โรงแรมนี้เคยเป็นคอนแวนต์เก่ามาก่อนที่จะถูกดัดแปลงเป็นโรงแรม

ส่วนอีกโรงแรมที่เราเคยไปพักนั้นเป็นโรงแรม 5 ดาว ซึ่งคล้ายกันคือเป็นตึกเก่านำมาปรับปรุงใหม่เป็นโรงแรม ชื่อว่า โพซาดา เด ลิสบัว สาขาจตุรัสคอมเมอซิโอ (Pousada de Lisboa - Praca do Commercio) ซึ่งอยู่ติดกับจตุรัสคอมเมอซิโอ้ในย่านดาวน์ทาวน์ของลิสบอนเลย


ทั้งสองโรงแรมอยู่ในใจกลางเมือง แค่คนละเขตกัน แต่เพื่อนๆ สามารถเดินเที่ยวจากโรงแรมได้เลยค่ะ ถ้าไม่อยากเดิน ที่ลิสบอนนั้นมีรถตุ๊กตุ๊กเยอะมาก สามารถเรียกรถพวกนี้ได้ (แต่ราคาอาจจะต้องระวังนิดนึง ถ้าเค้าคิดว่าเราไม่คุ้นสถานที่อาจจะโดนโก่งราคาได้) ส่วนตัวแล้วที่เคยมาเที่ยวเราพึ่ง Uber อย่างเดียวเลย ซึ่งในลิสบอนจะไม่แพงมาก และมีออปชั่นเยอะ เช่น สามารถดูรีวิวของคนขับได้ ซึ่งลูกค้าบางคนก็จะทิ้งคอมเม้นต์ไว้บ้างว่าคนขับเป็นยังไง สามารถแนะนำสถานที่เที่ยวแบบไหนได้บ้าง และมีออปชั่นเลือกรถแบบ Green นั่นคือรถไฟฟ้านั่นเอง ถ้าเราเลือกก็เหมือนช่วยโลกร้อนไปในตัวด้วยนะ แต่ถ้าเพื่อนๆ อยากเที่ยวแบบราคาสุดคุ้ม สามารถนั่งรถเมล์หรือรถรางได้เช่นเดียวกัน (แต่ถ้านั่งรถรางก็ต้องระวังให้มาก เพราะเค้าว่ากันว่าพวกขโมยล้วงกระเป๋าเยอะอยู่)


มาเริ่มเข้าสู่การรีวิว เราจะรีวิวแยกเป็น 2 ทริปแล้วกัน จะได้เห็นภาพนะคะ


ทริปแรกนั้นเราเดินทางจากลอนดอนมาถึงลิสบอน และได้เรียก Uber ไปที่พักที่แรก (ที่นี่ไม่อยากแนะนำเท่าไหร่เพราะมาถึงแล้วพบว่าไม่มีแอร์นะจ๊ะ มีแต่พัดลม) เราเข้ามาวางข้าวของแล้วก็เริ่มออกเดินทางเลย บริเวณที่เราอยู่นั้นคืออยู่ในใจกลางบ้านช่องของคนในพื้นที่เลย ทำให้เราได้รับบรรยากาศแบบคนในพื้นที่ บ้านเมืองที่นี่สวยงามมาก ฟุตบาทของถนนที่นี่จะปูด้วยหินที่นำมาขัดวาว (หรือว่าคนเดินบนหินจนมันแบนและมันวาวเลยรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ) เรียงรายสวยงามเป็นโมเสส โดยเส้นถนนทั่วไปจะเป็นหินสีขาว แต่ถ้าเราไปเดินตรงถนนคนเดินจะมีการวางหินเป็นลวดลายสวยงามมาก ไม่พอบนกำแพงหรือผนังหน้าและข้างตึกยังได้มีการประดับด้วยกระเบื้องลายสวยงามหลากหลายสีสัน เป็นเมืองที่น่าเดินจริงๆ

เวลาเดินต้องระวังหน่อย เพราะบางทีลื่นเกือบล้มอยู่หลายรอบ สถานที่แรกที่เราเดินไปชมคือ เอสเตรล่า บาซิลิก้า (Estrela Basilica) เป็นหนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในลิสบอน โบสถ์นี้ได้ถูกสร้างขึ้นเพราะพระราชินีมาเรียที่หนึ่งได้สาบานไว้ว่า หากเธอได้ให้กำเนิดบุตรชายเพื่อสืบต่อราชวงศ์ได้ เธอจะสร้างโบสถ์นี้ และเมื่อเธอให้กำเนิดบุตรชายเธอก็ได้สร้างโบสถ์นี้ขึ้นมาตามคำสาบาน โบสถ์ของโปรตุเกสนั้นมีความเอกลักษณ์มาก นั่นคือการใช้สีทองทาบนทุกอย่าง เดินเข้ามาแล้วแสบตามาก เพราะมันทองอร่ามไปหมด แต่ฝีมือในการแกะสลักและปั้นรูปปั้นต่างๆก็สวยงามไม่แพ้กับโบสถ์ประเทศอื่น

เมื่อสำรวจภายในตัวโบสถ์เสร็จ เราสามารถปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคาโบสถ์ได้ (แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มนะ น่าจะประมาณ 3 ยูโรต่อคน) บนนี้เราสามารถเข้าไปเดินวนในโดมข้างบนโบสถ์ได้ และชมวิวเมืองลิสบอนได้เช่นกัน

เมื่อออกจากโบสถ์เอสเตรล่ามาก็จะเป็นสวนสาธารณะ เราเข้าไปเดินเล่นอยู่สักพักหนึ่ง คนส่วนใหญ่ที่นี่ก็เป็นคนในพื้นที่มานั่งตากแดดรับลมกัน เราก็ซื้อไอติมกับเพื่อนกินแก้ร้อน ในสวนยังมีการตั้งตลาดเล็กๆขายพวกของหัตถกรรมต่างๆ ซึ่งเราก็เดินดูเล่นแต่ไม่ได้ซื้ออะไร จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ จุดต่อไปที่เราต้องการไปดูคือ จตุรัสคอมเมอซิโอ้ (Praca do Commercio) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของกรุงลิสบอนเลยก็ว่าได้ ระหว่างทางเราก็ชมนกชมไม้ ถ่ายรูปกันไป

มีเป็ดมีห่านมายืนตากแดดด้วย น่ารักมากเลย

อีกอย่างที่ต้องบอกเกี่ยวกับลิสบอนคือถนนหนทางของเมืองนี้ค่อนข้างลำบาก เพราะเป็นเนินขึ้นๆลงๆตลอด บางทีก็ชันมากจนกลายเป็นบันได ถ้าเพื่อนๆมาเที่ยวแบบเน้นเดินก็ควรเอารองเท้าที่เหมาะกับการเดินมาด้วย ส่วนตัวแล้วเตรียมรองเท้ามาผิดมาก เอามาแต่รองเท้าแตะ ต้องไปหาซื้อรองเท้ากับยามาทาแผลรองเท้ากัด (รูปนี้คือถ่ายตอนเดินลงเนินไปทางแม่น้ำ เราจะเห็นวิวหลังคาบ้านเมืองของลิสบอนสวยงามมาก)


ระหว่างทางเราก็ได้เจอกับ Timeout Market ซึ่งเป็นเหมือน Food Court เค้านำร้านอาหารหลายๆร้านมาเปิดในที่เดียวกันและให้คนสั่งอาหารนำมากินกันตรงโต๊ะตรงกลาง

หลังจากแวะเข้ามาก็แอบซื้อขนมกิน ซึ่งขนมนี้เป็นขนมประจำประเทศโปรตุเกสเลยก็ว่าได้ นั่นคือ พาสเตล เด นาต้า (Pastel de Nata) หรือทาร์ตไข่ นั่นเอง แต่ทาร์ตไข่ที่นี่จะไม่เหมือนบ้านเรา เค้าจะไม่ผสมไข่เยอะเท่า และจะมีรสชาติหวานกว่ามาก โดยเนื้อครีมนั้นจะเหมือนเป็นเนื้อคัสตาร์ด ส่วนตัวแล้วชอบมาก แต่มีคนไทยหลายคนที่คิดว่ามันหวานเกินไป

แวะทานขนมเล่นกันเสร็จเราก็เดินทางต่อไปจตุรัส แต่มาถึงแล้วมันมืดมากแล้วเลยคิดว่าเดี๋ยวกลับมาใหม่วันต่อไปแทน จากนั้นก็เดินย้อนกลับมาที่ Timeout Market เพื่อกินข้าวเย็น ก่อนเรียก Uber กลับที่พัก


วันรุ่งขึ้นเราออกมาแต่เช้าเพื่อไปสถานที่ถัดไป นั่นคือ Castelo de Sao Jorge หรือปราสาทเซนต์จอร์จ นั่นเอง รอบนี้อยู่ไกลไปเราเลยเลือกที่จะนั่ง Uber ไปอีกครั้ง (จริงๆ วันนี้โชคร้ายเพราะเป็นวันจันทร์ซึ่งเป็นวันที่พิพิธภัณฑ์ปิดกันเป็นส่วนใหญ่ ทีแรกเราตั้งใจจะไปโบสถ์อีกแห่งหนึ่ง แต่มันดันปิดซะได้) ที่ประสาทเซนต์จอร์จนี้ ถ้าเราขึ้นมาก็จะเห็นวิวเมืองทั้งเมืองของลิสบอนเลย ปราสาทนี้เก่าแก่มาก มีบันทึกว่ามีมาตั้งแต่ 1 ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราชเสียอีก เป็นปราสาทคู่เมืองเลยจริงๆ ตอนนี้ปราสาทนี้เหลือแต่กำแพง เพราะข้างในกลวงหมด เราสามารถเดินชมวิวบนกำแพงได้

หลังจากเดินสำรวจปราสาทไปได้สักพัก เราก็ออกเดินทางต่อ ระหว่างทางนั้นเราก็ได้เดินผ่านเขต อัลฟาม่า (Alfama) ซึ่งเป็นเขตที่เก่าแก่ที่สุดในลิสบอน ดังนั้นพวกบ้านช่องต่างๆ ก็จะดูเก่าๆ มีพวกสถานที่ทางประวัติศาสตร์อยู่เรียงรายระหว่างทาง ซึ่งเราเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร เดินชมวิวกันอย่างเดียว

ก่อนจะไปถึงจตุรัสนั้นจะมีถนนคนเดิน 5 เส้นขนานกันไป บริเวณนี้เค้าเรียกกันว่า บัยซ่า (Baixa) ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะชอบมาเดินเล่นกันที่นี่ เพราะมีร้านอาหาร ร้านขายของฝาก และร้านค้าอื่นๆมากมาย ไม่พอยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ 2 - 3 แห่งอีกด้วย ที่แรกที่เราแวะไปดูคือลิฟต์โบราณซานตา จุสต้า (Santa Justa) ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ลิฟต์นี้ถูกสร้างขึ้นเพราะการเดินทางจากเขตบัยซ่า และเขตคาร์โม่นั้นชันมาก เดินทางไม่สะดวก จึงมีคนนำเสนอไอเดียสร้างลิฟต์ขึ้นมาเพื่อให้เดินทางง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันลิฟต์นี้ผันตัวมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ตอนที่พวกเรามาถึงก็เห็นคิวคนรอยาวเหยียด เลยตัดสินใจแค่ยืนชมไกลๆก็พอ

เพราะคิวมันยาวมาก เราเลยต้องเดินอ้อมไปเพื่อไปที่ Carmo Convent คาร์โม่ คอนเวนต์ ซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดและเนินชันมากกว่าจะถึง ทำให้เข้าใจว่าทำไมเค้าถึงสร้างลิฟต์นี้ขึ้นมา มันเหนื่อยจริงๆ


คาร์โม่คอนแวนต์นั้นเป็นอีกที่ที่น่าไป เนื่องจากเป็นคอนเวนต์และโบสถ์โบราณที่ถูกทำลายลงไปเหลือแต่โครงเมื่อครั้งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของลิสบอนในปี ค.ศ. 1755 ตัวคอนเวนต์นั้นได้รับการซ่อมแซมและมีได้รับการใช้งาน แต่ตัวโบสถ์เองนั้นไม่ได้สร้างใหม่ มีเพียงแค่กำแพงเท่านั้นที่สร้างขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันตัวคอนเวนต์เก่าจึงถูกผันมาเป็นพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดี และตัวโบสถ์ก็เปิดให้คนเข้ามาเดินชมได้ ซึ่งตอนเราเข้าก็เห็นคนหลายคนนั่งอยู่บนบันได อ่านหนังสือ ฟังเพลง ชมวิวกันไป บริเวณนี้สามารถจองเพื่อจัดงานเลี้ยงได้ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานคอนเสิร์ตหรือโอเปร่า ส่วนตัวแล้วชอบตรงบริเวณโบสถ์มากเพราะสวยงาม เดินตรงไปเรื่อยๆ จะเห็นประตูเข้าพิพิธภัณฑ์ ตัวพิพิธภัณฑ์ข้างในไม่ค่อยมีอะไรมาก ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงประวัติศาสตร์โบราณของโปรตุเกส ที่น่าตื่นเต้นสุดคือมีมัมมี่ของเด็กที่มีคนสะสมไว้แล้วนำมาบริจาคให้แค่พิพิธภัณฑ์ ดูแล้วหลอนดี

หลังจากได้ชมโบสถ์คาร์โม่แล้ว ในที่สุดเราก็ได้ฤกษ์เดินถึงจตุรัสคอมเมอร์ซิโอซะที โชคดีที่เป็นทางเดินลงเนินหมดเพราะเรี่ยวแรงเราหมดเกลี้ยงแล้ว จตุรัสนี้เป็นจตุรัสหลักของดาวน์ทาวน์ลิสบอน ในสมัยโบราณเคยเป็นที่ตั้งของพระราชวังริเบร์ร่า (Royal Ribeira Palace) ซึ่งถูกทำลายลงในแผ่นดินไหวเช่นเดียวกับคาร์โม่คอนเวนต์ที่เราเพิ่งไปชมมา จตุรัสนี้อยู่ติดกับแม่น้ำทากุส (Tagus River) คนส่วนใหญ่จึงชอบมานั่งรับลมชมวิว โดยข้างหน้าจตุรัสติดแม่น้ำยังมีท่าเรือเก่าทำจากหิน ตรงนี้คนก็จะชอบนั่งเป็นพิเศษ มีทั้งรถเข็นขายของกิน และคนเล่นดนตรี เป็นบรรยากาศสุดแสนชิลล์ เหมาะกับคนอยากเที่ยวแบบสบายๆ ไม่รีบร้อนไปไหน


หลังจากนั่งชิลล์ไปสักพักหนึ่ง เราก็เดินทางต่อไปสวนพฤกษศาสตร์ Estufa Fria เอสตูฟ่า ฟรีอา เพราะเพื่อนเป็นคนรักธรรมชาติเลยอยากไปชม สวนที่นี่นั้นไม่ใหญ่มาก พืชพันธุ์ก็ไม่ได้หลากหลายเมื่อเทียบกับสวนพฤกษศาสตรที่อื่นๆ แต่ต้องบอกว่าบรรยากาศดี สามารถมาเดินเล่นสบายๆได้ คนส่วนใหญ่ที่มาก็เป็นคนในพื้นที่ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่าไหร่ การเดินทางมาที่นี่เราได้ลองนั่งตุ๊กตุ๊กของลิสบอนดู คุณลุงคนขับน่ารักมาก ชวนคุยตลอดทาง บอกว่าเค้าชอบพาลูกๆเค้ามาเดินในสวนนี้ด้วย รถตุ๊กตุ๊กที่นี่มีหลายรูปแบบมาก ที่เราได้นั่งนั้นเป็นแบบขนาดกลาง นั่งได้ประมาณ 4 คนสบายๆ แต่ถ้าเราเบียดๆกันก็ได้ 6 คน และมีเข็มขัดนิรภัยให้ด้วย (สำคัญมากเพราะพื้นถนนในช่วงดาวน์ทาวน์เป็นถนนเก่าซึ่งปูด้วยหิน เวลานั่งรถเลยจะสั่นสะเทือนไปตลอดทาง บางทีเลี้ยวเร็วไปก็แทบจะกระเด็นหลุดออกจากรถกันเลยทีเดียว) ตุ๊กตุ๊กที่นี่ส่วนมากเป็นรถขับพาชมเมือง ดังนั้นคุณลุงคนนี้ก็ช่วยอธิบายสถานที่ต่างๆที่เรานั่งผ่านตลอดทาง ถือว่านั่งได้คุ้มมากเลย พอคุณลุงมาส่งถึงที่ก็เสนอตัวถ่ายรูปให้เราอีกด้วย น่ารักและน่าประทับใจสุดๆ

วันสุดท้ายเราวางแผนไปเดินที่เขต Belem เราออกเดินทางด้วย Uber อีกครั้งเพื่อไป Jeronimos Monastery หรือ มหาวิหารเจอโรนิโม ซึ่งเป็นมหาวิหารโบราณสไตล์โกธิคที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่ฝังศพพระบรมวงศานุวงศ์และบุคคลสำคัญที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศของโปรตุเกส ที่นี่ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหนึ่งในมรดกโลกโดย UNESCOด้วยเช่นกัน เราเดินทางมาถึงกันประมาณ 9 โมงแต่คิวเข้าไปข้างในก็ยาวเหยียดซะแล้ว (มีคนมากระซิบให้ฟังว่าถ้ามากับทัวร์จะเร็วกว่านี้เยอะ) พวกเราก็รอกันไปประมาณเกือบชั่วโมงกว่าจะได้เข้าไป ที่นี่สถานที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ ห้องหับเยอะแยะมากมายและมีโบสถ์ข้างในด้วย วันที่เรามาเหมือนมีการทำพิธีกรรมทางศาสนา เค้าเลยให้เข้าชมแค่ชั้นลอย และห้ามส่งเสียงดังรบกวนคนที่มาเข้าโบสถ์กัน

ต้องขอบอกว่ามุมถ่ายรูปเยอะแยะมากมาย แต่อาจจะถ่ายยากหน่อยถ้าคนเยอะ หลังจากเสร็จจากที่นี่เราสามารถเดินต่อไปยัง Tower of Belem หรือหอคอยเบเลม หอคอยนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยใช้เป็นจุดขึ้นลงเรือของนักสำรวจชาวโปรตุเกสในยุค Age of Discoveries

แล้วถ้าเราเดินเลยหอคอยเบเลมไปอีกก็จะเห็นอนุสาวรีย์ Padrao dos Descobrimentos ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่ฉลองยุคสมัยแห่งการสำรวจของโปรตุเกส รูปปั้นของนักสำรวจที่มีชื่อเสียงของโปรตุเกสนั้นจะอยู่ข้างๆอนุสาวรีย์ให้เราได้เห็นกัน

โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้เดินมาดูเพราะว่าวันนั้นอากาศร้อนมาก เดินไม่ไหว แต่อยากแนะนำคนที่มาเที่ยวลิสบอนว่าควรแวะไปชมสักหน่อย โดยเฉพาะคนที่สนใจเรื่องทางประวัติศาสตร์ เราได้เขียนบทความอีกบทความหนึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สั้นๆ ของโปรตุเกส หากมีคนสนใจตามลิงค์นี้ไปได้เลยค่ะ



หลังจากเดินตากแดดกันมาสักพัก เราก็ต้องหยุดพักสักหน่อย ใกล้ๆกับมหาวิหารเจอโรนิโมนั้นมีพิพิธภัณฑ์หนึ่งที่น่าสนใจมาก นั่นคือ พิพิธภัณฑ์รถม้า หรือ Coaches Museum (Meseu dos Coches) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมรถม้าในยุคสมัยที่ยังไม่มีรถยนต์ขับกัน บางคันก็ธรรมดาๆ แต่บางคันนั้นเป็นราชรถของพระราชวงศ์ที่ในสมัยก่อนนั้นเดินทางไปมาหาสู่กัน โดยถ้าตำแหน่งยิ่งสูงความอลังการของรถม้าก็ยิ่งเยอะ ส่วนใหญ่แล้วรถม้าพวกนี้จะมาจากประเทศในยุโรป วิ่งมาถึงโปรตุเกสก็จะทิ้งไว้ที่นี่ (ไม่ค่อยเอาคันเดิมวิ่งกลับเท่าไหร่) นอกจากนี้ยังมีรถม้าสำหรับเด็ก ให้ลูกหลานให้ขับเล่นกันด้วย สำหรับคนที่สนใจอะไรเทือกนี้ก็ขอแนะนำ ถึงแม้พิพิธภัณฑ์จะไม่ใหญ่มากแต่ของที่โชว์นั้นเริดหรูอลังการงานสร้าง

ระหว่างพิพิธภัณฑ์นี้กับมหาวิหารเจอโรนิโม ยังมีร้านขายทาร์ตไข่ชื่อดังของเบเลมอยู่ด้วย ร้านนี้เค้าว่ากันว่าถ้ามาลิสบอนแล้วไม่ได้ลองถือว่าพลาดมาก ร้านนี้ชื่อว่า Pasteis de Belem เป็นร้านคู่เขตเบเลมเลยก็ว่าได้ เปิดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1837 นักท่องเที่ยวทุกคนต้องแวะมาร้านนี้ เรามาถึงก็รู้เลยว่าร้านไหนเพราะแถวออกมายาวเฟื้อยเลย

เวลาต่อคิวต้องสังเกตนิดนึง คิวแรกที่ต่อต้องเป็นคิวแคชเชียร์ คือเราต้องสั่งแล้วจ่ายเงินก่อน จำได้ว่าเค้าขายเป็นหลอด หลอดนึงมี 6 ชิ้น เมื่อสั่งและจ่ายเงินเสร็จเราต้องนำบิลไปต่ออีกคิวนึง เมื่อถึงคิวก็ยื่นให้พนักงานแล้วพนักงานก็จะไปหยิบทาร์ตไข่ใส่หลอดมาให้ ตรงนี้ต้องระวังนิดนึงเพราะวันที่เราไปนั้นคนเยอะมาก และแต่ละคนก็ไม่ค่อยเคารพกฏกติกากันเท่าไหร่ (ใครบอกว่าแค่นักท่องเที่ยวจีนที่ไม่มีระเบียบ บางทีพวกฝรั่งก็พอกันนะ) เราเนี่ยโดนแซงไปหลายรอบ ใครไม่อยากรอนานต้องหน้าด้านนิดนึง เบียดๆเข้าไปแล้วยื่นใบเสร็จใส่หน้าพนักงานให้ได้สักคนไม่งั้นยืนเอ๋อเหมือนเรา แต่ถ้าโชคดีคนก็อาจจะไม่เยอะหรือว่าคนรอบๆมารยาทดีหมด ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ

ถ้าใครมีเวลาก็สามารถนั่งกินในร้านได้ซึ่งต้องเดินเข้าไปข้างใน แต่ก็ต้องทำใจนิดนึงว่าบริการอาจจะช้าหน่อยเพราะถ้ามีคนต่อคิวซื้อกันเยอะคนเสิร์ฟอาหารก็ต้องไปช่วยด้วย เคยไปอ่านรีวิวมาว่าบางทีเสิร์ฟช้ามากจนทาร์ตมันเย็นไปแล้ว ส่วนตัวเราสั่งมา 2 หลอด หลอดนึงกินกับเพื่อน แล้วอีกหลอดเอาบินกลับไปอังกฤษไปแจกเพื่อน ขนมนี้ค้างคืนนึงก็ยังรสชาติอร่อยใช้ได้เลย

 

อีกพิพิธภัณฑ์นึงที่เราชอบมากคือ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกระเบื้องอาซูเลโจ (Meseu Nacional do Azulejo) ซึ่งเป็นกระเบื้องพื้นเมืองของโปรตุเกส พิพิธภัณฑ์นี้ถูกดัดแปลงมาจากคอนแวนต์เก่า และเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สะสมกระเบื้องเป็นจำนวนมากที่สุดในโลก เวลาเดินดูกระเบื้องนั้นจะโชว์ตามช่วงเวลา ดังนั้นเราจะได้เห็นจุดเริ่มต้นของการนำกระเบื้องมาทำเป็นสิ่งประดับตกแต่งตึกและอาคาร เห็นวิวัฒนาการของฝีมือการวาดลวดลายบนกระเบื้อง โดยกระเบื้องในช่วงแรกๆนั้นหน้าตาจะประหลาดๆไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ นั่นเพราะว่าในสมัยแรกเริ่มพวกจิตรกรยังไม่ให้ความสนใจกับสื่อแบบนี้ ดังนั้นคนวาดลายบนกระเบื้องในสมัยนั้นก็คือคนทำกระเบื้องเองนี่แหละ แต่พอกระเบื้องเหล่านี้ได้รับความนิยมมากขึ้น พวกจิตรกรก็เริ่มศึกษาการวาดภาพลงบนกระเบื้องจนสุดท้ายออกมาสวยงามเหมือนที่เราจะเห็นกันทั่วไปในเมืองลิสบอน

ภายในพิพิธภัณฑ์ยังคงเก็บโบสถ์เอาไว้อยู่ ดังนั้นเราสามารถเดินเข้าไปชมโบสถ์ได้ด้วย โบสถ์ที่นี่ทองอร่ามมาก แสบตาจริงๆ ค่ะ

ที่นี่เดินได้เพลินๆเลย มีกระเบื้องหลายรูปแบบให้เราได้ชมกัน นอกจากนั้นยังมีการจัดนิทรรศการต่างๆ ตามช่วงเวลาด้วย ครั้งแรกที่เราได้ไปนั้นมีกระเบื้องวาดรูปเมืองลิสบอนที่ยาวมากจากห้องมุมหนึ่งไปถึงอีกมุมหนึ่ง และอีกนิทรรศการเป็นการโชว์กระเบื้องจากญี่ปุ่น เพราะทางประวัติศาสตร์แล้ว เมื่อนักสำรวจชาวโปรตุเกสได้เดินทางไปถึงญี่ปุ่นก็ได้แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการทำกระเบื้อง เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถ้าใครได้ไปชมพิพิธภัณฑ์นี้ก็คงเป็นนิทรรศการที่ต่างจากนี้ค่ะ

 

อันนี้ถือว่าจบทริปแรก แต่ทริปที่สองเราจะไม่ค่อยได้รีวิวอะไรเท่าไหร่ เพราะมาอยู่แค่ 2 วัน และเผอิญเป็นช่วงปีใหม่พอดี โดยวันที่ 1 นั้นสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ปิดหมด เราเดินทางมาจากปอร์โต้ (เมืองใหญ่อีกเมืองของโปรตุเกส อยู่ทางเหนือของประเทศ ไปอ่านรีวิวเมืองปอร์โต้ได้ที่นี่เลย) กว่าจะถึงลิสบอนก็เย็นแล้ว แล้วโรงแรมดันมาอยู่ตรงจตุรัสคอมเมอร์ซิโอพอดี ซึ่งวันนั้นเป็นวันสิ้นปี ถนนรอบๆจตุรัสจึงปิดหมด พวกเราเลยต้องขนกระเป๋าเดินทางจากถนนเส้นคู่ขนานไปที่โรงแรม สุดท้ายพวกเราก็ได้เที่ยวกันเต็มๆวันในลิสบอนแค่วันที่ 1 พวกเราจึงตัดสินใจซื้อทัวร์รถตุ๊กตุ๊กชมเมืองกันค่ะ คนขับตุ๊กตุ๊กของเรารอบนี้ไม่ใช่คนในพื้นที่แต่เป็นคนบังกลาเทศ คุยกับเค้าก็เลยทราบว่าเค้าได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่นี่ได้เกือบ 10 ปีแล้ว แล้วก็ทำอาชีพเป็นคนขับรถตุ๊กตุ๊กพาทัวร์เมืองมาตลอดเค้าเลยคุ้นเคยกับเมืองเป็นอย่างดี รอบนี้เราชมเมืองแบบเร็วๆไม่ค่อยได้แวะที่ไหนนานๆ แต่จะมารีวิวกันนิดนึงนะคะ จริงๆทัวร์เค้าจะมีให้เลือกหลายแบบแบ่งไปตามเขตแต่ละเขตของลิสบอน ครั้งนี้เราเดินทางมากับครอบครัวที่ยังไม่เคยมาโปรตุเกสเลย เราเลยเลือกเขตอัลฟาม่า เพราะเป็นเขตที่คนส่วนใหญ่แนะนำกัน (จริงๆก็เหมือนแก้แค้นด้วย เพราะคราวที่แล้วที่มาเราไม่รู้เรื่องเลยว่าที่นี่มีอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง)

 

จุดแรกที่ได้แวะไปก็คือ Lisbon Cathedral หรือ วิหารลิสบอน เป็นวิหารศาสนาคริสต์นิการยโรมันคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในลิสบอน (ค.ศ. 1147) อยู่ทนทานผ่านแผ่นดินไหวมาหลายต่อหลายครั้งและได้รับการซ่อมแซมทำนุบำรุงมาตลอด ดังนั้นเมื่อเข้าไปชมจะเห็นสไตล์การออกแบบหลายยุคหลายสมัยมายำๆไว้ด้วยกัน

วันนี้เป็นวันปีใหม่แต่นักท่องเที่ยวก็ยังเยอะอยู่ ดังนั้นคนก็จะเข้าๆออกๆตลอด บางคนพูดเสียงดังโดนพนักงานดุด้วย (สงสารพนักงาน ต้องทำงานวันปีใหม่ด้วย) พวกเราก็แวะชมกันแป๊บนึงก็ออกเดินทางต่อ ทีนี้เค้าขับพาเราไปถึงจุดชมวิวที่อยู่ระหว่างโบสถ์ Santa Luzia กับสวน Jardim Julio de Castilho จุดนี้สามารถชมวิวเมืองลิสบอนได้ แต่คนจะเยอะหน่อยต้องเบียดกันนิดนึง

หลังจากชมวิวถ่ายรูปไปได้สักพัก ไกด์เราก็พาเราไปที่จุดชมวิวอีกที่หนึ่ง ที่ Miradouro da Senhora do Monte ซึ่งเป็นวิวพาโนรามา 250 องศา ให้ได้ชมกันอย่างเต็มที่ คนตรงนี้ก็แน่นเอี๊ยด ที่จอดรถตุ๊กตุ๊กนี่แทบไม่มีเลย จะเข้าจะออกต้องมีคนมาคอยโบกให้ แต่รับรองความสวยงามของวิวนี้

มองมาด้านซ้ายมือจะเห็นปราสาทเซนต์จอร์จด้วยค่ะ

ถ่ายรูปชมวิวกันเสร็จเรียบร้อย ก็ไปแวะที่ โบสถ์ Vicento de Fora ซึ่งปิดวันปีใหม่เลยได้แต่ชมจากข้างนอก ให้ตายเถอะ ครั้งแรกที่มาก็ปิด สงสัยโบสถ์นี้เราคงไม่มีวันได้เข้าไปแน่ๆค่ะ

และสุดท้ายเราก็ปิดท้ายด้วยการแวะถ่ายรูปข้างหน้า Panteao Nacional de Santa Engracia ซึ่งเมื่อก่อนเป็นโบสถ์มาก่อนแล้วจึงถูกดัดแปลงเป็นที่ฝังศพของคนที่มีชื่อเสียงในโปรตุเกส

และนี่ก็จบรีวิวการเที่ยวเมืองลิสบอนของเรา นอกจากเมืองลิสบอนแล้วเรายังได้ไปเที่ยวเมืองซินตรา (Sintra) ซึ่งเป็นเมืองที่พวกพระราชวงศ์ชอบไปพักกันในช่วงฤดูร้อน และเมืองปอร์โต้ (Porto) เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดรองจากลิสบอน ตามไปอ่านได้ที่นี่เลย




1,010 views0 comments

Comments


bottom of page