top of page
Fah Chana

(เกร็ดความรู้) ประวัติศาสตร์ย่อๆ ของประเทศโปรตุเกส

Updated: May 21, 2020

ประเทศโปรตุเกสเป็นหนึ่งในประเทศที่เราได้ยินคุ้นหูเวลาเรียนประวัติศาสตร์ไทยว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นคู่ค้าในสมัยอยุธยา แต่เรามาคิดดูกันว่านอกจากนี้แล้วเรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับประเทศโปรตุเกส? ตอนที่เราไปเที่ยวยังมีหลายคนถามว่าโปรตุเกสนี่มีอะไร ซึ่งเราก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน ดังนั้นวันนี้เราเลยอยากพาเพื่อนๆมาทำความรู้จักกับประเทศโปรตุเกสแบบย่อๆ กันค่ะ


ตอนเรียนประวัติศาสตร์ไทยนั้นประเทศโปรตุเกสเป็นประเทศแรกๆที่ได้เข้ามาติดต่อค้าขายกับบ้านเรา แล้วยังสอนเราทำอาหารที่สุดท้ายเรานำมาประยุกต์กลายเป็นขนมไทยที่พวกเรากินกันอยู่ทุกวันนี้ เช่น ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ไม่พอ คำศัพท์บางคำที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นคำทับศัพท์ที่ได้มาจากภาษาโปรตุเกสด้วยนะ


ก่อนอื่นเลย ประเทศโปรตุเกสอยู่ที่ไหนเอ่ย? โปรตุเกสมีพรมแดนติดกับสเปน ถือเป็นประเทศที่อยู่ตะวันตกที่สุดของทวีปยุโรป (โดยไม่นับเกาะอังกฤษ) ดินแดนของโปรตุเกสนั้นถือเป็นหนึ่งในดินแดนที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปยุโรปเลยก็ว่าได้ ดินแดนนี้ผ่านการปักหลัก รุกราน และแก่งแย่งแผ่นดินกันมาหลายยุคหลายสมัย เริ่มตั้งแต่ก่อนสมัยชาวเควติก จากนั้นก็โดนยึดโดยพวกโรมัน แล้วก็ถูกรุกรานโดยพวกชนเผ่าบาบาเรี่ยน แล้วก็ถูกรุกรานอีกด้วยกองทัพมุสลิม แต่พวกบาบาเรี่ยน (ซึ่งก็คือชาวเยอรมันในสมัยนี้) ก็ยึดกลับมาได้อีกครั้ง และกลายมาเป็นประเทศโปรตุเกสอยู่ทุกวันนี้



Age of Discoveries

ยุคแห่งการค้นพบ

ในช่วงยุคศตวรรษที่ 15 - 16 โปรตุเกสเป็นประเทศที่ล่าอาณานิคมโดยการเดินทางทางทะเลที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ทั้งทางด้านการทหาร เศรษฐกิจ และการเมือง คนทั่วไปจึงเรียกยุคนี้ว่า ยุคแห่งการค้นพบ เพราะเป็นประเทศแรกๆที่เดินทางไปทั่วโลกและสร้างเส้นทางการค้าขายจากประเทศต่างๆ ตั้งแต่การบุกเบิกการสำรวจชายฝั่งแอฟริกา ค้นพบเส้นทางเดินทางไปอินเดียจากแหลมกู๊ดโฮป ค้นพบประเทศบราซิล การสำรวจมหาสมุทรอินเดีย จนกระทั่งสร้างเส้นทางการค้าขายที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียใต้ถึงตะวันออกเฉียงใต้ และยังเป็นประเทศในยุโรปประเทศแรกที่ส่งคณะทูตไปยังประเทศจีนและญี่ปุ่นเพื่อทำการค้าอีกด้วย ยุคนั้นจึงถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของโปรตุเกส

ในยุคนี้มีนักสำรวจมากมายหลายคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโปรตุเกส เรามาเล่าเรื่องของนักสำรวจดังๆกันหน่อยละกัน โดยคนที่เรานำมากล่าวถึงนั้นจุดประสงค์เหมือนกันหมดคือ ถูกกษัตริย์โปรตุเกสสั่งมาให้ไปหาเส้นทางไปอินเดียโดยเส้นทางเรือเพื่อสร้างเส้นทางการค้านำเครื่องเทศกลับมายังยุโรป (สมัยนั้นการค้าเครื่องเทศนั้นถูกคุมโดยพวกอาหรับ คนยุโรปไม่สามารถเดินทางตามถนนหนทางไปอินเดียเองได้เพราะอยู่ในเขตแดนของพวกอาหรับหมด) ซึ่งคนที่เราเลือกมาพูดถึงนั้นเป็นคนแรกๆที่บุกเบิกเส้นทางเรือจนกระทั่งสร้างเส้นทางไปอินเดียได้


ดีโอโก้ เคา (1452 - 1486)

ดิโอโก้ เคา เป็นนักสำรวจคนแรกที่แล่นเรือผ่านแหลมเวิร์ด (เคปเวิร์ด) เพราะในสมัยนั้นยังมีความเชื่องมงายเรื่องโลกแบน นักสำรวจและคนเดินเรือส่วนมากจึงไม่กล้าแล่นผ่านแหลมนี้ไปเพราะกลัวว่าผ่านไปแล้วจะตกขอบโลกไปได้ แต่ดิโอโก้แล่นผ่านไปแล้วค้นพบแม่น้ำคองโก้ ซึ่งเค้าได้แล่นเข้าไปได้หน่อยนึงก็หันเรือกลับโปรตุเกสโดยทิ้งป้ายไว้ตามทางว่าโปรตุเกสเป็นประเทศที่ค้นพบที่นี่ก่อนใคร


บาร์ตูลูเมว ดิอัช (1450 - 1500)

คนนี้ประวัติน่าสนใจเลย เค้าเป็นหนึ่งในลูกเรือของ ดิโอโก้ เคา ตอนที่ดิโอโก้ได้ค้นพบแม่น้ำคองโก้ แต่ บาร์ตูลูเมว ดิอัช เป็นผู้ที่แล่นเรือเลยแม่น้ำคองโก้ไป แต่ไปได้สักพักก็ถูกพายุซัดเข้าจนหลงทางอยู่หลายเดือน ซึ่งจริงๆแล้วเค้าโดนพัดผ่านแหลมกู๊ดโฮปไปเลย (แหลมสุดทวีปแอฟริกา ที่ประเทศแอฟริกาใต้) และสุดท้ายเมื่อหันเรือกลับทางเดิมได้ก็เจอแหลมกู๊ดโฮปโดยบังเอิญ ทีแรกบาร์ตูลูเมวคิดว่าในเมื่อเจอแหลมกู๊ดโฮปแล้ว ทำไมไม่เดินทางต่อไปอินเดียเสียเลย แต่เค้ากลับถูกวีโต้โดยลูกเรือที่อยากกลับบ้านเต็มทน เค้าเลยต้องยอมแพ้ยอมกลับไปโปรตุเกสเพื่อรายงานการค้นพบแหลมกู๊ดโฮป แต่สิ่งที่เราว่าน่าสนใจคือหลังจากบาร์ตูลูเมวกลับโปรตุเกสไปแล้วนั้น เค้าได้ออกเดินทางมากับ วัสคู ดา กามา ซึ่งได้รับสั่งให้เดินทางไปหาอินเดียจนเจอ ไม่พอหลังจากไปถึงอินเดียครั้งแรกสำเร็จ เค้ากลับมาโปรตุเกสอีกครั้งแล้วเค้าได้เดินทางไปกับ เปดรู อัลวารีซ กาบรัล ผู้ค้นพบประเทศบราซิลอีกด้วย แต่หลังจากเดินทางออกจากบราซิลเพื่อไปอินเดียต่อ เรือของบาร์ตูลูเมวก็ถูกพายุซัดเข้าตรงแหลมกู๊ดโฮปทำให้เรือของเค้าจมลงและเสียชีวิตที่นั่น เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะเค้าได้เป็นส่วนหนึ่งของการค้นพบดินแดนที่สำคัญต่อการสร้างเส้นทางการค้ากับอินเดียเกือบทั้งหมดเลย (เสริมอีกนิดนึง น้องชายของบาร์ตูลูเมว "ดิโอโก้ ดิอัช" ได้เดินทางมากับเค้าด้วยแต่อยู่บนเรือคนละลำกัน ตัวดิโอโก้นั้นหลงผ่านแหลมกู๊ดโฮปไปแล้วไปพบกับเกาะมาดากัสก้า ซึ่งถือเป็นคนยุโรปคนแรกที่ได้เห็นเกาะนี้ เพราะจริงๆพวกอาหรับเค้าค้นพบไปนานแล้ว ตัวดิโอโก้เองก็เคยได้ร่วมเดินทางไปกับ วัสคู ดา กามา กับพี่ชายของตนเองตอนที่พวกเค้าไปถึงอินเดียครั้งแรก)


วัสคู ดา กามา (1460 - 1524)

คนนี้ถือเป็นหนึ่งในนักสำรวจที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของโปรตุเกสเลยก็ว่าได้ แต่อาจจะเป็นเพราะมีเรื่องฉาวประกอบด้วย วัสคู ดา กามา เป็นนักสำรวจชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางทางเรือไปจนถึงอินเดียได้ แต่ด้วยความที่อินเดียในขณะนั้นมีการค้ากับพวกอาหรับอยู่แล้ว การทำการค้าจึงเป็นไปอย่างลำบากเพราะพวกอาหรับซึ่งเป็นมุสลิมนั้นมีเรื่องบาดหมางกับชาวยุโรปที่ส่วนใหญ่เป็นคนคริสต์ เมื่อการเจรจาครั้งแรกไม่สำเร็จ ดา กามา จึงได้รับสั่งให้กลับมาอีกครั้ง แต่ในครั้งที่สองนั้นมีเหตุการณ์ที่โรงงานของชาวโปรตุเกสถูกทำลายเนื่องด้วยความขัดแย้งระหว่าง เปดรู อัลวารีซ คาบรัล กับกลุ่มพ่อค้าชาวอาหรับ ซึ่งคาดว่าทำให้คนโปรตุเกสเสียชีวิตไปกว่า 70 คน เป็นชนวนสงครามระหว่างโปรตุเกสกับรัฐโคชิโคดในอินเดีย และนี่จึงเป็นเหตุให้วัสคู ดา กามา ยกทัพเรือมาจากโปรตุเกสเพื่อมากำราบผู้นำของรัฐนี้


ระหว่างการเดินทางมาครั้งที่สองนั้น ดา กามา ก็ได้กระทำเรื่องฉาวไว้หลายเรื่อง เช่น การปล้นชิงและทำลายเรือของชาวอาหรับที่เค้าได้พบระหว่างการเดินทางไปอินเดีย โดยเรื่องที่ฉาวที่สุดคือ ระหว่างทางเค้าไปเจอหนึ่งในเรือของชาวมุสลิมที่เดินทางมาแสวงบุญที่อินเดียและกำลังเดินทางกลับไปยังกรุงเมกกะ บนเรือมีผู้โดยสารมากกว่า 500 ชีวิตรวมผู้หญิงและเด็ก เมื่อเรือถูกยึด พวกผู้โดยสารต่างร้องขอชีวิตโดยการยกทรัพย์สมบัติให้กองทัพของ ดา กามา ทั้งหมด แต่ ดา กามา ไม่สนใจ ขังผู้โดยสารทุกคนไว้บนเรือและจุดไฟเผาทั้งเป็นทั้งลำ ยุคนั้นเค้าจึงกลายเป็นหนึ่งในคนที่ฉาวโฉ่มากที่สุดในอินเดีย


เมื่อเดินทางไปถึงอินเดีย เค้าก็ได้นำสาส์นมาจากกษัตริย์โปรตุเกสมาให้ผู้นำรัฐโคชิโคด โดยผู้นำของรัฐโคชิโคดก็ยินยอมที่จะทำพันธสัญญาใหม่กับโปรตุเกส แต่ ดา กามา ก็ยังไม่พอใจ เค้าเรียกร้องให้ผู้นำรัฐขับไล่ชาวมุสลิมออกจากอาณาจักรไปให้หมด ซึ่งผู้นำรัฐก็ได้ปฏิเสธ นี่จึงนำไปสู่การโจมตีของทัพเรือโปรตุเกสที่ได้ยิงปืนใหญ่ใส่เมืองท่านี้เป็นเวลาติดกันเกือบ 2 วัน ไม่พอ ดา กามา ยังจับพวกเรือขนข้าวชาวอินเดียแล้วตัดมือ หู และจมูกของลูกเรือนำส่งให้กับผู้นำรัฐอีกด้วย แต่ผู้นำรัฐโคชิโคดนั้นไม่ยอมจำนน ลงทุนไปจ้างทัพเรือจากแดนอื่นมาช่วยรบกับโปรตุเกส หลังจากที่รบกันนาน 1 ปี ดา กามา จึงยอมถอยทัพเดินทางกลับโปรตุเกส ซึ่งถึงแม้เค้าจะชนะสงครามแต่ก็สูญเสียคู่ค้าสำคัญของโปรตุเกสไป ดา กามา จึงถูกปลดออกจากดูแลเรื่องค้าขายกับประเทศอินเดีย เค้าพยายามที่จะกลับมามีอำนาจอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์องค์ใหม่ และสุดท้ายเค้าก็ได้เดินทางไปอินเดียเป็นครั้งสุดท้ายในตำแหน่งอุปราช แต่เมื่อเดินทางมาถึงได้เพียง 3 เดือนก็ติดเชื้อมาลาเรียและเสียชีวิตลงในปีค.ศ. 1524


เปดรู อัลวารีซ คาบรัล (1467 - 1520)

คาบรัล เป็นผู้ที่ค้นพบประเทศบราซิล ซึ่งเป็นการพบโดยบังเอิญระหว่างการเดินทางไปอินเดีย แต่ก็ถือเป็นผลงานดีเด่นของคาบรัล แต่เมื่อเดินทางไปถึงอินเดียก็ดันไปสร้างเรื่องที่โรงงานโปรตุเกสตามที่กล่าวมาข้างต้น ไปจุดชนวนสงครามระหว่างโปรตุเกสและอินเดีย เมื่อเค้าเดินทางกลับมาโปรตุเกสก็ได้รับอนุญาตให้นำทัพกลับไปรบกับอินเดีย แต่หลังเตรียมเรือพร้อมเสบียงกับอาวุธก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งกลางคัน โดยไม่รู้เพราะอะไร สุดท้ายกลายเป็น วัสคู ดา กามา ที่ได้เป็นผู้นำกองทัพไปตีกับอินเดียแทน หลังจากนั้นคาบรัลก็ได้หมดอำนาจในราชสำนักของกษัตริย์โปรตุเกส โชคดีที่เค้าได้แต่งงานกับสาวผู้ดี และใช้ชีวิตบั้นปลายที่บราซิลและเสียชีวิตที่นั่น


 

นักสำรวจที่เราได้พูดถึงนั้นแค่เดินทางไปถึงอินเดีย แต่ยังมีอีกหลายคนที่เดินทางเลยจากอินเดียไป และได้พบกับมาลักกา กรุงศรีอยุธยา หมู่เกาะสุมาตรา ดานัง ในเวียดนาม กวางโจว ในจีน และในที่สุดคือเกาะทาเนกะในญี่ปุ่น นี่แหละคือ Age of Discoveries ของโปรตุเกส ซึ่งมีอนุสรณ์สถานสร้างไว้เพื่อรำลึกยุคนี้ที่เขตเบเลม ในกรุงลิสบอน ใครไปเที่ยวก็สามารถไปเยี่ยมชมได้ โดยรวมแล้ว โปรตุเกสในยุคนั้นถือว่ารุ่งเรืองที่สุดในหมู่ประเทศยุโรป และได้มีอาณานิคมที่เยอะที่สุดในโลก

ถ้าต้องการรู้รายละเอียดเรื่องเกี่ยวกับชาวโปรตุเกสในยุคสมัยกรุงศรีอธุธยา ขอแนะนำให้ไปอ่านได้ที่


หลังจากที่เป็นมหาอำนาจมาได้หลายร้อยปี โปรตุเกสก็ประสบกับหลายๆเหตุการณ์ที่สุดท้ายก็ทำให้เสียอำนาจนี้ไป โดยเริ่มตั้งแต่สงครามดัตช์กับโปรตุเกส ที่สุดท้ายก็เสียอาณานิคมส่วนใหญ่ในแอฟริกาให้กับพวกบริษัทชาวดัตช์ ทำให้โปรตุเกสเสียอำนาจทางการค้าที่เคยเป็นผู้ผูกขาดมาก่อน และยังประสบกับแผ่นดินไหวที่ลิสบอนในปี 1755 ซึ่งเมืองหลวงลิสบอนแทบจะถูกทำลายหมดสิ้น (เป็นหนึ่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ คาดว่ามีผู้เสียชีวิตตั้งแต่ 10,000 ถึง 100,000 คน) ทำให้เสียอำนาจทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะต้องนำเงินกลับมาฟื้นฟูประเทศ และทำให้การขยายอาณานิคมของโปรตุเกสต้องหยุดชะงัก ไม่พอ โปรตุเกสก็ถูกรุกรานโดยประเทศฝรั่งเศสในสมัยสงครามนโปเลียนในปี 1807 และท้ายสุดประเทศบราซิลที่เคยเป็นเมืองขึ้นก็ประกาศอิสรภาพในปี 1822 ทำให้โปรตุเกสสูญเสียอำนาจในทวีปอเมริกาใต้ไปโดยปริยาย เมื่อยุครุ่งเรืองของโปรตุเกสหมดไป ก็เกิดความความไม่เสถียรภาพทางการเมือง และระบอบกษัตริย์ของประเทศก็ถูกล้มลง

 

Modern Portugal

เมื่อระบอบกษัตริย์ถูกโค่นล้มลง โปรตุเกสก็ผันตัวมาเป็นรัฐบาลและปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ยังไร้เสถียรภาพ ประกอบกับการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกับฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งถึงแม้จะชนะก็ยังทำให้ระบบเศรษฐกิจแย่ลงกว่าเดิม จนสุดท้ายก็ถูกปกครองโดยระบอบเผด็จการในปี 1933 โดย แอนโทนิโอ เดอ โอลิเวร่า ซาลาซาร์ ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ข้างล่างเป็นอินโฟกราฟฟิกย่อๆ ของการปกครองโปรตุเกสของซาลาซาร์


คนโปรตุเกสนั้นมีความเห็นที่ค่อนข้างขัดแย้งกันเกี่ยวกับซาลาซาร์ เพราะในด้านหนึ่ง เขาเป็นคนที่ช่วยกู้เศรษฐกิจของโปรตุเกสจนสภาพเศรษฐกิจผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ และได้ปฏิรูประบบการศึกษาของประเทศได้ทั่วถึงจนอัตราการรู้หนังสือของคนโปรตุเกสเพิ่มขึ้นมาจาก 30% เป็น 97% เขายังได้ป้องกันประเทศโดยยึดความเป็นกลางในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 (แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความช่วยเหลืออย่างลับๆแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร) และยังสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศโปรตุเกสจนได้ชื่อว่าเป็นผู้นำประเทศให้ก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลของซาลาซาร์นั้นก็มีความโหดเหี้ยม เขาได้ตั้งกองตำรวจพิเศษ PIDE ขึ้นมา ซึ่งเป็นตำรวจที่มีหน้าที่ในการจับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล โดยเฉพาะพวกคนสนับสนุนระบบคอมมิวนิสต์และโซเวียต คนที่ถูกจับไปนั้นจะถูกส่งไปยังค่ายเชลยในอาณานิคมของโปรตุเกสในทวีปแอฟริกาหรือบางคนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นก็มีการเซนเซอร์สื่อมวลชนทำให้สังคมโปรตุเกสนั้นกลายเป็นสังคมที่ไร้เสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก และถึงแม้ว่าเขาได้กู้เศรษฐกิจของประเทศโปรตุเกสขึ้นมาในระดับหนึ่ง คนในประเทศส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ในชนบทก็ยังมีฐานะยากจน และถึงแม้ว่าจะมีการปฏิรูปการศึกษา ความรู้ที่สอนในโรงเรียนนั้นก็เป็นความรู้ที่ล้าหลัง เพราะตัวซาลาซาร์เองนั้นไม่คิดว่าการให้การศึกษาประชาชนเป็นสิ่งสำคัญจึงเอาเงินไปใช้ในสงครามอาณานิคม นั่นคือสงครามเมื่อประเทศในอาณานิคมลุกขึ้นมาสู้เพื่อต้องการประกาศอิสรภาพของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นอาณานิคมในทวีปแอฟริกา


หลังจากที่ซาลาซาร์เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1970 พรรคของเค้าก็อยู่ต่อไปได้ไม่นานก็ถูกล้มลงด้วยการปฏิวัติของทหาร ปฏิวัติคาร์เนชั่น ซึ่งยึดประเทศกลับมาให้อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็ให้อิสรภาพแก่ประเทศอาณานิคมที่ยังเหลืออยู่ โดยอาณานิคมสุดท้ายก็คือมาเก๊าที่คืนให้ประเทศจีนในปี ค.ศ. 1999 นั่นเอง ปฏิวัตินี้มีชื่อเสียงมากเพราะหลังจากรัฐประหารสำเร็จแล้ว ประชาชนก็แห่กันออกมาที่ถนนเพื่อเฉลิมฉลอง ประชาชนเหล่านี้นำดอกคาร์เนชั่นมามอบให้แก่ทหารที่ทำการปฏิวัติโดยนำมาเสียบไว้ในเครื่องแบบและกระบอกปืนของพวกเค้า จึงกลายเป็นที่มาของชื่อการปฏิวัติครั้งนี้


อีกเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ หลายคนอ่านเสร็จก็อาจจะรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อของเผด็จการคนนี้ โดยเฉพาะสาวกแฮร์รี่ พอตเตอร์ นั่นก็เพราะ เจ เค โรวลิ่ง นั้นเคยอาศัยอยู่โปรตุเกสตอนที่เธอเขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ 3 เล่มแรก และเผด็จการคนนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เธอตั้งชื่อของ ซาลาซาร์ สลิเธอริน หนึ่งในผู้ก่อตั้งโรงเรียนฮอกวอร์ตกับบ้านสลิเธอรินนั่นเอง


และนี่ก็คือประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ของประเทศโปรตุเกส สาธยายมานานมาก แต่เราคิดว่าเราต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศนี้เพื่อที่จะเที่ยวแล้วได้ความรู้และเข้าใจวัฒนธรรมของคนโปรตุเกสได้ หากมีใครอ่านแล้วสนใจอยากจะไปเที่ยวโปรตุเกสสามารถตามไปอ่านรีวิวเราต่อได้เลย

886 views0 comments

Comments


bottom of page