top of page
Fah Chana

(รีวิว) ซินตรา เมืองตากอากาศของราชวงศ์โปรตุเกส

Updated: May 22, 2020

หลังจากที่ได้รีวิวเที่ยวเมืองหลวงลิสบอนในประเทศโปรตุเกสแล้ว เราต้องขอมารีวิวเมืองซินตราที่ห่างจากลิสบอนไปหน่อยเดียว



เมืองซินตราเป็นเมืองที่มีสภาพภูมิศาสตร์ดีนั่นคือเป็นเนินเขาใหญ่มีต้นไม้ปกคลุมตลอดปีและมีภูมิอากาศที่เหมาะสมกับการสร้างบ้านพักตากอากาศช่วงหน้าร้อน เพราะอากาศจะเย็นสบายตลอด ที่นี่เลยเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์และชนชั้นสูงในสมัยก่อนที่มาสร้างทั้งพระราชวังและบ้านพักตากอากาศไว้อยู่เต็มเขา อีกอย่างที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์คือพืชพันธุ์ส่วนมากบนเขาลูกนี้นั้นไม่ใช่พืชพันธุ์พื้นเมืองของโปรตุเกส แต่เป็นพืชพันธุ์ที่มาจากต่างประเทศที่นักสำรวจชาวโปรตุเกสที่ล่องเรือท่องโลกนำกลับมาถวายให้แก่กษัตริย์แล้วจึงถูกนำมาปลูกไว้ที่นี่


ตอนเราเดินทางมาที่นี่นั้นเราเรียก Uber มาจากลิสบอน ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ราคาไม่แพงมาก แต่เทียบกับการนั่งรถไฟมาแล้วนั้นแพงกว่าเยอะ สำหรับคนที่ไม่ต้องการใช้เงินเยอะก็สามารถซื้อตั๋วรถไฟจากลิสบอนไปซินตราได้ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเดินทาง ซินตรานั้นถ้าอยากเที่ยวให้เต็มอิ่ม เราแนะนำว่า 2 วันเต็มๆ จะดีที่สุด แต่สำหรับคนที่เวลาจำกัดนั้นไปเช้าเย็นกลับก็ยังพอไหวอยู่ การเที่ยวในซินตรานั้นมีหลักๆ 3 รูปแบบคือ


  1. Hop-on Hop-off Bus คือรถเมล์ท่องเที่ยวที่เราสามารถซื้อตั๋วรายวัน แล้วขึ้นลงได้ตลอดเส้นทางท่องเที่ยว ตั๋วนี้สามารถซื้อได้ที่สถานีรถไฟซินตรา

  2. เช่ารถเองเลย อันนี้ก็สะดวกดี ไม่ต้องแคร์ว่าใครจะอยู่ที่ไหนนานแค่ไหน ไปตามตารางของตัวเอง แต่ข้อเสียคือที่จอดรถที่นี่นั้นน้อยมาก และไม่ได้ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวมาก บางทีจะจอดก็ต้องรอคนที่กำลังกลับออกก่อน แล้วพอรอกันไปรอกันมารถก็ติดกันทั้งเส้นเลย (ถนนที่นี่เป็นถนนเก่า จึงมีความคดโค้งและแคบ เวลาขับต้องใช้ฝีมือพอสมควร)

  3. ซื้อทัวร์ แบบนี้ก็สะดวกดี เป็นทางเลือกของเราทั้งสองครั้งที่มาเลย ข้อดีคือมีคนคอยอธิบายถึงความเป็นมาประวัติศาสตร์ของวังแต่ละวัง และบางทีมีแวะจุดชมวิวที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักอีกด้วย แต่ข้อเสียอย่างเดียวคือไกด์จะไม่เดินเข้าไปในสถานที่ท่องเที่ยวกับเรา เค้าแค่อธิบายและแนะนำวิธีการเดินในสถานที่ตอนเราอยู่ในรถ จากนั้นก็ให้พวกเราเข้าไปเดินกันเอง


ครั้งแรกที่เรามานั้น ทีแรกกะว่าจะนั่งรถบัส Hop-on Hop-off นี่แหละ แต่ตอนกำลังเดินไปซื้อตั๋วนั้นถูกคนขายทัวร์ดักไว้เสียก่อน เค้าก็พยายามโฆษณาทัวร์เค้ามาก เราก็เลยฟังเค้าหน่อย ถามคำถามกลับไปบ้าง ไปๆมาๆเราว่ามันคุ้มดี นั่นคือเรากับเพื่อนสองคน รถเก๋งคันเดียวพร้อมคนขับที่ควบเป็นไกด์ไปในตัว สถานที่ที่อยากไปก็เลือกเองได้ ไม่ต้องไปตามทางที่เค้าแนะนำ ทั้งหมดในราคา 200 ยูโร เราว่าก็ดีเหมือนกันเพราะเกิดอาการขี้เกียจนั่งรถบัส แต่เรื่องที่ตลกคือก่อนเราจะเริ่มทัวร์คนขายทัวร์เข้ามาคุยกับเราแล้วบอกว่ามีนักท่องเที่ยวอีกคนจะไปร่วมทัวร์ด้วย เค้าเลยลดราคาให้ 50 ยูโร เราก็เลยโอเค เพิ่มมาแค่คนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ต้องมาตกลงกันก่อนว่าจะแวะที่ไหนบ้าง


สถานที่แรกที่พวกเราแวะนั้นคือวัง Quinta da Regaleira (ควินตา ดา เรกาเลร่า) ซึ่งถึงแม้ว่าจะได้ชื่อเป็นวัง แต่ที่นี่ไม่เคยเป็นพระราชวังมาก่อน ตามประวัติแล้วคือที่ดินที่นี่เคยเป็นของครอบครัวชนชั้นสูงจากกรุงปอร์โต้ และถูกขายต่อให้กับมหาเศรษฐี อันโตนิโอ้ ออกุสโต้ คาร์วาโล มอนเทโร่ (ชื่อยาวได้อีก) ซึ่งสร้าง "วัง" นี้ขึ้นมาโดยผสมผสานสัญลักษณ์สิ่งต่างๆที่ตนเองมีความสนใจ เช่น การเล่นธาตุ (Alchemy) องค์กรลับฟรีเมสัน อัศวินเทมพลา และอื่นๆอีกมากมาย เค้าได้ว่าจ้างนักสถาปนิก ลุยจิ มานีนี่ มาสร้างสรรค์คฤหาสน์นี้ขึ้น ภายในบริเวณรอบๆคฤหาสน์มีทั้งสวน น้ำพุ ทะเลสาบ ถ้ำเทียม บ่อน้ำ และสถาปัตยกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ที่นี่สามารถเดินเล่นได้ทั้งวันสำหรับคนที่มีเวลา

ตัวคฤหาสถ์ในหน้าหนาว

สถานที่ที่ทุกคนเดินเข้ามาแล้วมุ่งไปที่แรกนั้นคือ Initiation Well หรือบ่อน้ำอุปสมบท ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่ถูกสร้างลึกลงไปในเนินเขา มีบันไดเวียนสร้างไว้ในตัวผนังของบ่อน้ำ ให้คนสามารถเดินวนลงไปถึงก้นบ่อได้ บ่อนี้นั้นไม่ได้ใช้ในการเก็บน้ำ แต่คนเชื่อกันว่าใช้ในการทำพิธีอะไรสักอย่างขององค์กรลับที่เจ้าของบ้านเคยเป็นสมาชิก ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเค้าใช้ทำอะไรจริงๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือบันไดเวียนนี้มีทั้งหมด 9 ชั้น และมีคนสมมติฐานว่าบ่อนี้ถูกสร้างตามคอนเซปต์ในหนังสือของ ดานเต้ อาลีกีเอรี ชื่อว่า อินเฟอร์โน่ (Inferno) ซึ่งได้กล่าวถึงนรก 9 ขุม (9 circles of Hell) เมื่อเราเดินลงมาถึงก้นบ่อแล้ว จะมีอุโมงค์ทางเดินที่มืดมิด อุโมงค์นี้หลายคนเชื่อว่าเปรียบเสมือนสถานล้างบาป หรือแดนชำระ (Purgatory) และเมื่อเราเดินผ่านอุโมงค์นี้ไปเราก็จะเห็นน้ำตกเทียมที่ถูกสร้างไว้อย่างสวยงาม เปรียบได้ว่าเมื่อล้างบาปออกหมดแล้ว ก็สามารถเข้าสู่สวรรค์ (Paradise) ได้นั่นเอง ส่วนตัวแล้วชอบมากเพราะเป็นคอนเซ็ปต์ที่ทำออกมาได้น่าประทับใจมาก

บ่อนรกเก้าขุม Initiation Well
อุโมงค์แดนชำระ

เมื่อเดินตรงนี้เสร็จแล้วคนส่วนใหญ่ก็จะมุ่งหน้าออกจากวังกัน แต่สำหรับคนที่ต้องการดูให้ครบก็สามารถเดินวนดูในสวนได้ โดยที่ในสวนยังมีสวนเล็กสวนน้อยหลบซ่อนอยู่ แต่พวกเราต้องทำเวลาเลยมุ่งหน้าไปทางออกโดยที่ต้องเดินทะลุคฤหาสน์ไปก่อน ก่อนถึงคฤหาสน์มีโบสถ์เล็กๆ ให้เราแอบมองเข้าไปดูได้

ประตูโบสถ์

จากนั้นเมื่อเราเข้าไปตัวคฤหาสน์เค้าก็จะกำหนดทางเดินให้เราหมด ซึ่งเราสามารถดูห้องบางห้องที่เค้าเปิดให้ดูเท่านั้น ส่วนใหญ่แต่ละห้องก็จะมีการเล่าถึงประวัติความเป็นมาของวังนี้ สถาปัตยกรรมต่างๆ ที่ผสมผสานกัน เมื่อเดินเสร็จเราก็ออกจากวังไปขึ้นรถที่รอเราอยู่

เต๊ะท่านิดนึงในคฤหาสน์เรกาเลร่า

ก่อนที่จะเดินทางไปสถานที่ต่อไป ไกด์ของเราก็พาเราไปจุดชมวิวที่อยู่ในโรงแรมใกล้ๆ (จริงๆเค้าไม่อนุญาตให้เข้าไป แต่ไกด์เราคงเส้นใหญ่มาก เจรจากันแป๊บนึงก็ได้เข้าไปถ่ายรูปละ) มุมนี้ถ้าเราสังเกตุข้างหลังบนยอดเขามีพระราชวังสีแดงเหลืองอยู่นั่นก็คือพระราชวังพีน่า (Pena Palace) สถานที่ที่พลาดไม่ได้หากมาเที่ยวซินตรา

แต่ไกด์ของเราบอกว่าเราจะยังไม่ไปที่พระราชวังพีน่าเพราะที่นี่คนเต็มตลอดทั้งวัน ทางที่ดีที่สุดคือไปก่อนปิดนี่แหละ ถึงจะได้เดินชมโดยไม่ต้องไปเบียดเสียดกับใคร ดังนั้นเราเลยเลือกวังต่อไปที่จะเยี่ยมชม นั่นคือวัง Monserrate (มอนเซอร์เรต) วังนี้มีความเป็นมาที่ยาวนาน แต่ที่สำคัญที่สุดคือคนที่เคยมาพักอยู่ที่นี่ หนึ่งในนั้นคือ นาย วิลเลียม ทอมัส เบคฟอร์ด ซึ่งเป็นนักเขียนนวนิยายชื่อดังชาวอังกฤษ (ค.ศ. 1793 - 1794) อีกคนหลังจากนั้นคือ ลอร์ด ไบรอน นักกวีชื่อดังชาวอังกฤษ ผู้มาเยือนวังนี้ในปี ค.ศ. 1809 โดยทั้งสองได้กล่าวชมและเขียนถึงวังมอนเซอร์เรตว่าสวยงามจนไม่สามารถบรรยายได้ รอบๆวังยังมีสวนพฤกศาสตร์มากมายแบ่งแยกตามประเภท เช่น สวนเฟิร์น สวนพืชทะเลทราย สวนกุหลาบ ฯลฯ

วังมอนเซอร์เรต
โถงทางเดินภายในวังมอนเซอร์เรต
บริเวณรอบวัง
เพดานห้องบอลรูม วิจิตรงดงามมาก

หากเราดูตามสถาปัตยกรรมแล้วเป็นอะไรที่สวยงามมาก โดยผสมผสานศิลปะทั้งแนวโรแมนติก นีโอกอธิก และศิลปะสไตล์อิสลามอย่างชัดเจน เป็นสถานที่ที่สวยงามมาก ข้างในวังนั้นไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์อะไรให้ดู เราสามารถเดินดูได้ทุกห้องและชมวิวข้างนอกได้ เมื่อชมวิวเสร็จใครอยากลงไปชมสวนพฤกศาสตร์ก็เดินตามแผนที่ที่จะได้รับตอนซื้อตั๋วเข้าชม เดินๆแล้วเหมือนอยู่ในป่าเล็กๆเลยก็ว่าได้

พืชทะเลทราย ในสวนพฤกศาสตร์ วังมอนเซอร์เรต
สวนเฟิร์น ในสวนพฤกศาสตร์ วังมอนเซอร์เรต

สิ่งที่อยากเน้นคือถ้ามาเที่ยวที่นี่ต้องใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าที่เหมาะกับการเดินขึ้นลงเนินที่ชัน เพราะจะเดินไปที่พระราชวังได้เราต้องเดินลงจากเนินลงมา และเมื่อมาถึงตัววังแล้วอยากเดินไปชมสวนพฤกษศาสตร์รอบๆ ก็ต้องเดินลงเนินลงไปอีก สุดท้ายเดินทางกลับก็ต้องปีนขึ้นเนินย้อนกลับไปตามทางเดิม ไม่มีประตูอื่น วันนั้นบอกเลยว่าท้อมาก เกือบยอมแพ้แล้ว แต่ก็ต้องฮึดเพื่อกลับไปที่รถ


สถานที่ที่เก็บไว้ท้ายสุดของวันนี้คือพระราชวังพีน่า กว่าเราจะเดินทางมาถึงก็ 5 โมงเย็นแล้ว พระราชวังนี้ปิด 6 โมงเย็น เสียดายคือเวลาซื้อบัตรที่นี่เค้าจะคิดรวมกับสวนรอบๆวังด้วย ซึ่งสวนนี้ใหญ่โตมโหฬารมาก การที่เรามาซะเย็นขนาดนี้ไม่มีทางมีเวลาพอที่จะเดินสวน เสียดายเงินนิดนึง

วิววังพีน่าจากถนน

เมื่อเราเดินเข้าไปข้างในแล้ว เรามี 2 ทางเลือกคือนั่งรถ shuttle bus ขึ้นไปหรือเดินไปเอง ตอนที่เรามานั้นรถเค้าหยุดวิ่งไปแล้ว เราเลยต้องเดินขึ้นไปเอง เมื่อเดินมาถึงเราก็จะได้เห็นพระราชวังอันสุดแสนมหัศจรรย์ ครั้งแรกที่เราเห็นนั้นคิดถึงพวกประสาทในการ์ตูนเลย ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์มาก ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ

เมื่อเดินเข้าไปข้างในบริเวณรอบนอกของวัง (ยังไม่เข้าไปในตัววังจริงๆ) เราก็จะได้ชมวิวจากยอดเขารอบด้าน มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะไปหมด ก่อนจะเข้าไปตัววังจริงๆ เราสามารถเดินวนรอบพระราชวังก่อนได้รอบนึง บอกเลยว่าแนะนำมาก เราโชคดีด้วยที่มาตอนพระอาทิตย์กำลังตก บรรยากาศสุดโรแมนติก ได้เก็บรูปสวยๆเยอะแยะเลย

เมื่อเดินวนครบรอบแล้ว เราก็เพิ่งฉุกคิดได้ว่าเวลาจะหมดแล้ว เราก็เลยมุ่งเข้าไปในตัววังที่คนเคยอาศัยกันอยู่จริงๆ โดยที่จริงแล้วข้างในเค้าห้ามถ่ายรูป แต่พวกเราเกเรแอบถ่ายค่ะ โชคดีที่มาตอนใกล้ปิดเพราะไม่มีคนเหลือเลย แอบถ่ายก็ไม่มีใครเห็น แต่เพื่อเคารพสถานที่ขอไม่ลงรูปแล้วกันค่ะ ยังไงก็ตามข้างในก็สวยพอๆกับข้างนอกเลย ส่วนตัวคือชอบการประดับตกแต่งผนังและเพดานของเค้า บางห้องก็เป็นกระเบื้องทั้งห้อง บางห้องก็เป็นปูนปั้นเป็นทรงเรขาคณิตสวยงาม ในขณะที่บางห้องก็วาดด้วยมือเพื่อสร้างเอฟเฟคแบบ3มิติ ในขณะเดียวกันก็มีพวกข้าวของใช้ เฟอร์นิเจอร์ที่สวยงามมากมายมาจากหลายประเทศ บอกได้เลยว่าคุ้มค่าจริงๆ เป็นไปได้ต้องมาค่ะ

เหมือนอยู่ในเรื่องอาลาดินเลย

ปิดท้ายด้วยการชมพระอาทิตย์ตกก่อนที่เราจะกลับไปที่รถ จากนั้นไกด์ก็พาเรากลับไปที่สถานีรถไฟ ถือว่าจบทัวร์นี้ไป พวกเราเที่ยวมาทั้งวันเลยต้องเติมพลัง บริเวณสถานีรถไฟนี้ก็จะมีร้านค้าขายของฝากและร้านอาหาร 2 - 3 ร้าน เราเลยตัดสินใจเลือกร้านนึง อากาศที่นี่เย็นดีจริงๆ ตอนกลางวันยังร้อนๆอยู่เลย พระอาทิตย์ตกปุ๊บหนาวเลย เวลานั่งกินพนักงานเลยต้องลากฮีตเตอร์มาให้ใกล้ๆ ไม่งั้นตัวสั่นกินข้าวไม่ลงเลย อาหารโปรตุเกสส่วนใหญ่นั้นจะเป็นอาหารทะเล โดยส่วนมากจะใช้น้ำมะกอกปรุง วันนั้นเราก็เลยลองสั่งสลัดเบบี้สควิดมา

รสชาติไม่จัดเท่าไหร่ แต่ร้านแถวๆนี้คงเป็นร้านขายนักท่องเที่ยว รสชาติเลยง่ายๆ ไม่ละเอียดมาก ทริปนี้ไม่ค่อยเน้นเรื่องอาหารเท่าไหร่ รับประทานอาหารเสร็จเราก็เรียก Uber กลับโรงแรมค่ะ


 

วันที่สองเราก็ตื่นเช้ามาเดินทางไป Convent of the Capuchos หรือ คาปูโชสคอนเวนต์ การเดินทางนั้นค่อนข้างลำบากเพราะที่นั่นไม่มีป้ายรถเมล์ สุดท้ายเราเลยเรียก Uber ไปกัน ระหว่างทางบนเขาสัญญาณโทรศัพท์จะไม่ค่อยดี ต้องทำใจนิดนึง สิ่งที่น่าสนใจที่นี่คือมันเคยเป็นคอนเวนต์เก่าที่อยู่กลางเขาห่างไกลจากผู้คนโดยการเจาะทะลุหินใหญ่สร้างขึ้นมาเป็นที่พัก โดยข้างในเรียบง่ายบาทหลวงเหล่านี้นั้นถือศีลอย่างเคร่งเครียดโดยใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เรื่องที่มีชื่อเสียงโด่งดังเกี่ยวกับคอนเวนต์นี้ก็คือมีบาทหลวงคนหนึ่งตัดสินใจไถ่บาปโดยการขังตนเองไว้ในรูเล็กๆในคอนเวนต์นี้เป็นเวลา 30 ปี เป็นที่ประทับใจชาวบ้านมาก เราสามารถเข้าไปดูรูเล็กๆนี้ได้ที่นี่เลยค่ะ

ก่อนถึงทางเข้าก็มีไม้กางเขนตั้งเอาไว้อยู่
โต๊ะเก้าอี้หินแกะสลักแบบง่ายๆ
คอนเวนต์ถูกสร้างอยู่ในโขดหินใหญ่

ที่นี่ได้นำไม้คอร์กซึ่งเป็นไม้ที่หาได้ทั่วไปในประเทศโปรตุเกสมาประดับตกแต่งประตู ผนัง หลังคา หน้าต่าง ไม้คอร์กของโปรตุเกสนี่ถือเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้นๆของประเทศเลย คอร์กจุกไวน์ส่วนใหญ่ 80% มาจากโปรตุเกสค่ะ

ไม้คอร์กบนบานประตู
ไม้คอร์กบนบานหน้าต่าง
ไม้คอร์กที่ขอบประตูและบนเพดาน

สังเกตุจากรูปประตูมันดูเล็กมากใช่มั้ยเอ่ย ตอนแรกเราก็สงสัยเหมือนกัน และคิดไปว่าสงสัยคนโปรตุเกสสมัยก่อนเค้าตัวเตี้ยกันรึเปล่า ทำไมประตูมันต่ำจัง แต่หลังจากไปอ่านประวัติศาสตร์ของเค้ามาก็อึึ้งไปเลยเพราะที่เค้าทำช่องประตูให้ต่ำๆแบบนี้ไม่ใช่เพราะพวกเค้าตัวเตี้ย แต่เป็นเพราะเค้าต้องการให้เวลาคนเดินเข้าออกประตูต้องก้มหัวลงทุกครั้งเพื่อแสดงถึงความถ่อมตน! คิดตามแล้วบาทหลวงเหล่านี้คงปวดหลังกันน่าดู

บรรยากาศด้านนอกคอนเวนต์
ทางเดินไปห้องอีกด้านหนึ่ง
ตรงนี้มีน้ำพุเล็กๆ ให้คนมารองน้ำดื่มได้

เมื่อพวกเราได้สำรวจที่นี่เสร็จก็ออกเดินทางไปที่ต่อไป นั่นคือ Chalet da Condessa D'Edla หรือคฤหาสน์เคาต์เตสเอดล่า ซึ่งเป็นภรรยาคนที่สองของกษัตริย์ เฟอร์นานโด้ ที่ 2 ซึ่งถือเป็นเรื่องความรักสุดโรแมนติกของโปรตุเกสเลยก็ว่าได้ เพราะเคาต์เตสเอดล่านั้น จริงๆมีนามว่า เอลีส เป็นนักร้องชาวอเมริกัน แต่เกิดที่สวิสเซอแลนด์ เธอเป็นสามัญชนธรรมดา วันหนึ่งเธอมาออกคอนเสิร์ตที่โปรตุเกสและได้พบกับกษัตริย์เฟอร์นานโด้ ซึ่งตอนนั้นพระมเหสีมาเรียที่สองก็ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พวกเค้าตกหลุมรักกันและท่ามกลางการต่อต้านของคนในราชวงศ์ สุดท้ายทั้งสองก็ได้อภิเษกสมรสสมหวังกันในที่สุด เธอไม่ได้ตำแหน่งเป็นราชินีเพราะฐานะที่ต่างกันมากก่อนแต่งงานทั้งสองคนต้องให้คำมั่นกับคนในวังว่าจะไม่แต่งตั้งเธอเป็นราชินีและลูกที่กำเนิดจากการสมรสนี้ก็จะไม่ได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่โชคดีไปที่สองคนนี้ไม่มีลูกด้วยกัน


ตอนแรกที่เราเลือกมาที่นี่เพราะเราเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นคฤหาสน์ที่มีบริเวณของตัวเอง แต่จริงๆแล้วคฤหาสน์นี้อยู่ในสวนของบริเวณพระราชวังพีน่า (ที่กษัตริย์เฟอร์นานโด้ที่ 2 เคยอาศัยอยู่นั่นเอง) กลายเป็นว่าเราต้องจ่ายเงินค่าเค้าสวนนี้ทั้งๆที่เมื่อวานก็จ่ายควบกับพระราชวังไปแล้ว พลาดท่าจริงๆ

คฤหาสน์ของเคาต์เตสเอดล่า

จริงๆแล้วคฤหาสน์นี้ได้ประสบเหตุเพลิงไหม้ไปครั้งหนึ่ง ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้คือเป็นบ้านที่สร้างขึ้นมาใหม่แต่เค้าว่ากันว่าสร้างออกมาได้เหมือนกับของเก่าเลย บ้านนี้มีเอกลักษณ์มากคือลวดลายของผนัง และเพดานห้องแต่ละห้องซึ่งไม่เหมือนกันเลย และมีการนำไม้คอร์กมาประดับตกแต่งด้วยเช่นกัน สวยงามมาก

ตรงสีน้ำตาลนั้นคือไม้คอร์กนั่นเอง

บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่มากและมีแค่สองชั้น ดังนั้นเดินแป๊บเดียวก็เสร็จ เราเลยถือโอกาสสำรวจสวนข้างนอกไปด้วย สวนที่นี่กว้างใหญ่ไพศาลมากมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 850,000 ตารางเมตร พวกเราเดินกันได้ไม่ครบ และมีช่วงที่คิดว่าหลงทางหาทางออกไม่เจอด้วย ตกใจหมดเลย

เนินหินใกล้ๆกับบ้านเคาต์เตสเอดล่า

เดินไปก็ถ่ายรูปกันแบบขำๆ พอเลยเนินหินไปเราก็เดินเข้าสู่ช่วงไม้ใหญ่

ระหว่างทางมองขึ้นไปก็เห็นตัวพระราชวัง คิดดูว่าสวนมันกว้างขนาดไหน พระราชวังดูเล็กไปเลย

พอใกล้ถึงทางออกก็เริ่มมีพวกบึงเล็กๆ ที่ตื่นเต้นที่สุดคือมีปราสาทสร้างกลางบึงให้พวกเป็ดมาอาศัยอยู่ข้างในด้วย เราว่าคนโปรตุเกสเค้าชอบเป็ดกันมากๆเลย

ปราสาทแดงให้น้องเป็ดอยู่
ปราสาทเป็ดกลางบึง

จบทริปซินตรา เราก็กลับไปที่โรงแรมเพื่อเช็คเอ้าท์และเดินทางกลับลิสบอน ซินตราเป็นเมืองที่มีอีกหลายจุดที่เราไม่มีโอกาสไปเยือน ถ้าใครมีโอกาสมาเที่ยวโปรตุเกสแล้วละก็พลาดไม่ได้นะคะ

313 views0 comments

Comments


bottom of page